งานเฉลิมพระเกียรติ ๗๐ พรรษา

Breaking News

Aruba คาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยีระบบเครือข่ายในปี 2022

Aruba ทำนายแนวโน้มเทคโนโลยีระบบเครือข่ายในปี 2022

โดย สตีฟ วูด (Steve Wood) รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นแห่ง Aruba บริษัทในเครือฮิวเล็ตแพ็กการ์ดเอ็นเตอร์ไพรส์

คุณประคุณ เลาหกิตติกุล 
ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของ Aruba 
บริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise

ในปี 2022 นี้แม้จะยังคงมีปัญหาการระบาดของโคโรน่าไวรัสอยู่ แต่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีระบบเครือข่ายยังคงพัฒนาก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ของผู้ใช้ทั้งในเชิงธุรกิจและการใช้ชีวิต Aruba ได้เล็งเห็นแนวโน้นสำคัญ 4 ประการในปีนี้ได้แก่

แนวโน้ม #1: Secure Access Service Edge (SASE) จะเป็นหัวใจสำคัญในการผสานรวมระบบเครือข่ายสองรูปแบบเข้าด้วยกัน

องค์กรหกในสิบแห่งโดยประมาณนั้นกำลังเตรียมดำเนินกลยุทธ์ที่ชัดเจนทางด้าน SASE ภายในปี 2025 โดยมีหลายองค์กรที่มีแผนจะวางรากฐานของระบบและก้าวสู่การเริ่มต้นใช้งานในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่กำลังจะมาถึงนี้ ซึ่งภายในตลาดจะมีการแบ่งแนวทางในการวางระบบออกเป็น 2 แบบอย่างชัดเจนนับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นไป โดยองค์กรขนาดใหญ่จะให้ความสำคัญทางด้านความมั่นคงปลอดภัย, ความน่าเชื่อถือ และคุณภาพของประสบการณ์การใช้งานมากขึ้น ในขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางจะมุ่งเน้นไปทางการใช้ระบบ All-in-One SASE ที่มุ่งเน้นความง่ายและ “การให้บริการโดยผู้ให้บริการรายเดียว” มากกว่าที่จะให้ความสำคัญกับความสามารถชั้นสูง สิ่งที่จำเป็นสำหรับการตอบโจทย์ทั้งสองแนวทางนี้ก็คือการมีพันธมิตรทางด้าน SD-WAN ที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้กับระบบเครือข่ายภายในองค์กรและการเชื่อมต่อ WAN ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับโซลูชันและบริการจากพันธมิตรรายอื่นทางด้านระบบ Secure Web Gateway (SWG), Cloud Access Security Broker (CASB) และ Zero-Trust Network Access (ZTNA)

แนวโน้ม #2: การเปลี่ยนแปลงสู่การใช้ Wi-Fi 6E จะเริ่มต้นและแพร่หลายในปี 2022

ระบบโครงข่าย 5G นั้นได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปี 2021 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งใช้งานภายในพื้นที่ขนาดใหญ่หรือภายในองค์กรก็ตาม ซึ่งประเด็นนี้จะเป็นรากฐานสำคัญสู่การเริ่มต้นใช้งาน Wi-Fi 6E ในอนาคต โดยจากผลสำรวจพบว่าพนักงานทั่วภูมิภาค APAC ต้องการทำงานแบบ Hybrid Work กันมากขึ้น องค์กรจึงต้องตอบรับต่อความต้องการนี้เพื่อให้พนักงานยังคงสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลที่ดี และ สามารถทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการสร้างพื้นที่การทำงานร่วมกันในอุดมคติ Wi-Fi 6E นั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยการรองรับคลื่นความถี่เพิ่มเติมถึง 1200MHz อีกทั้งยังสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีแบบดั้งเดิมได้ จากแนวโน้มความต้องการในการทำงานแบบ Hybrid Work ดังกล่าวนี้ได้สะท้อนออกมาในรายงานของ 650 Group ผู้นำด้านการสำรวจตลาดที่คาดว่าจะมีการใช้งาน Wi-Fi 6E Access Point ในองค์กรเพิ่มขึ้นสูงกว่า 200% ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการที่องค์กรธุรกิจนั้นเล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยี 6E โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานที่ต้องการเสถียรภาพและต่อเนื่อง เช่น ระบบประชุมผ่านวิดีโอ, ระบบรักษาผู้ป่วยทางไกล และระบบสำหรับการเรียนการสอนทางไกล

แนวโน้ม #3: การเติบโตของ “Microbranch” ที่ใช้เทคโนโลยี AI Automation ซึ่งถูกขับเคลื่อนจากการทำงานแบบ Hybrid Work

เมื่อสถานการวิกฤตโรคระบาดเริ่มคลี่คลายลงแล้ว ธุรกิจในภูมิภาคเอเชียต่างก็เร่งมองหาวิธีการทำงานแบบใหม่ให้เกิดผลกำไรและมีค่าตอบแทนมากยิ่งขึ้นจากพนักงานกลุ่มที่ “ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจากทุกที่” ซึ่งสภาวะ New Normal นี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิด Microbranch หรือ “Branch of One” ขึ้น ที่ผ่านมาเราได้เห็นถึงการที่องค์กรจำนวนมากได้ขยายระบบ VPN หรือติดตั้งใช้งาน Remote Access Point (RAP) เพื่อเชื่อมต่อพนักงานที่ต้องทำงานกับที่บ้านเข้ากับที่ทำงานในช่วงแรกของวิกฤต แต่ในปี 2022 นี้ เราจะได้เห็นการเติบโตของการสร้าง Microbranch ที่ตอบโจทย์เฉพาะทางจากการนำ Wi-Fi Access Point สำหรับองค์กรมาผสมผสานเข้ากับการเชื่อมต่อ WAN หลายเส้นทาง และระบบ AIOps สำหรับการเสริมเสถียรภาพและประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่เหมือนกันในทุกที่ ระบบ Microbranch เหล่านี้จะช่วยเชื่อมผสานทั้งองค์กรที่อยู่กระจัดกระจายกันให้กลายเป็น “Branch of One” ที่ปลอดภัย

แนวโน้ม #4: การใช้งานระบบเครือข่ายแบบคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงอย่างเช่น Network-as-a-Service (NaaS) จะเติบโตยิ่งขึ้น

การเปลี่ยนแปลงในเชิงวัฒนธรรมกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของพวกเราทุกคน จากการที่ผู้คนให้คุณค่ากับ “ประสบการณ์” มากกว่า “สิ่งของ” และความต้องการใน “การเป็นเจ้าของ” ที่กำลังลดลง ซึ่งเป็นแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมเราทุกวันนี้ และจะสะท้อนไปยังกลุ่มธุรกิจองค์กรภายในเวลาอีกเพียงไม่กี่ปีที่กำลังจะมาถึง โดยองค์กรจะให้ความสำคัญในการลงทุนอุปกรณ์และการซื้อขาด (CAPEX) น้อยลง และมุ่งเน้นไปยังผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีแทน ในขณะเดียวกัน องค์กรก็จะต้องการความยืดหยุ่นทางด้านการเงินและค่าใช้จ่ายที่ทำนายได้มากขึ้น รวมถึงต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของฝ่าย IT ให้สูงขึ้นและสามารถก้าวทันนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่คดิค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงจะทำให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจริงได้ และเหมาะสมกับองค์กรที่ยังไม่พร้อมที่จะลงทุนอย่างเต็มตัวด้วยทางเลือกใหม่ที่ทำให้สามารถ “ทดสอบก่อนใช้งานจริง” ได้ดีขึ้น รวมถึงค่อยๆ เปลี่ยนรูปแบบการลงทุนมาสู่การคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงได้เมื่อพร้อม ปัจจัยนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดความต้องการในการใช้บริการที่คิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงอย่างเช่น NaaS ในปี 2022

สำหรับประเทศไทย เรามีโซลูชันครบตามแนวโน้มทั้ง 4 ประการนี้ พร้อมทั้งมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา ให้บริการหลังการขาย และพันธมิตรทางธุรกิจในการสนับสนุนช่วยเหลือลูกค้าของเราทั้งในทุกภาคธุรกิจเอกชนและราชการให้สามารถก้าวหน้าไปกับแนวโน้มเหล่านี้ เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัวและมีประสิทธิภาพในการแข่งขันอย่างยั่งยืน” กล่าวเสริมโดย คุณประคุณ เลาหกิตติกุล ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของ Aruba บริษัทในเครือฮิวเล็ตแพ็กการ์ดเอ็นเตอร์ไพรส์