“ทริสเรทติ้ง” เคาะอันดับ “พีทีจี เอ็นเนอยี” ที่ BBB+ พร้อมให้แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable”
“ทริสเรทติ้ง” จัดอันดับ “พีทีจี เอ็นเนอยี” ที่ BBB+ และให้แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” ตอกย้ำสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้นในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน และมีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่ครอบคลุม สนับสนุนให้กำไรเติบโตอย่างมั่นคง
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ PTG อยู่ที่ระดับ BBB+ พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่ (Stable)” โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะทางการตลาดของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ตลอดจนเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่ครอบคลุม และกำไรที่เติบโตอย่างมั่นคง
อีกทั้งทริสเรทติ้งยังมองว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเอาไว้ได้ และ PTG ยังได้จัดสรรงบลงทุนในการขยายธุรกิจอย่างเหมาะสม ทำให้บริษัทสามารถรักษาความแข็งแกร่งทางด้านการเงินและความสามารถในการชำระหนี้
ขณะที่เครือข่ายสถานีบริการ “PT” ยังมีการเติบโต ส่งผลให้สถานะทางการตลาดของบริษัทแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2562 ทาง PTG มีสถานีบริการรวมทั้งสิ้น 2,027 แห่ง เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2561 มีสถานีบริการรวมทั้งสิ้น 1,883 ทำให้บริษัทมีจำนวนสถานีบริการมากเป็นอันดับ 2 นอกจากจำนวนสถานีบริการที่เติบโตแล้ว PTG ยังมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่เติบโตสูงสุดในอุตสาหกรรม โดยในปี 2562 PTG มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันรวม 4,681 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 19.4% จากปีก่อน ส่งผลให้ PTG มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการมากเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 15.6%
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนจะดำเนินกลยุทธ์เน้นการขยายสถานีบริการน้ำมันในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่มากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการรับรู้แบรนด์ PT ในกลุ่มลูกค้าที่มีอำนาจการซื้อและใช้น้ำมันสูงรวมถึงยังสร้างโอกาสให้บริษัทจำหน่ายสินค้าและให้บริการอื่นนอกเหนือจากน้ำมัน เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ และบริการบำรุงรักษารถยนต์ได้มากขึ้นอีกด้วย
อีกทั้งบริษัทยังมีระบบสมาชิกเพื่อสะสมคะแนนและรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ภายใต้ชื่อ “PT Max Card” ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่บริษัท โดยจำนวนสมาชิกเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และ ณ สิ้นปี 2562 มีจำนวนสมาชิก PT Max Card อยู่ที่ระดับ 12.60 ล้านราย จากสิ้นปี 2561 มีจำนวนสมาชิก PT Max Card อยู่ที่ระดับ 10.20 ล้านราย และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่าน PT Max Card มีสัดส่วนคิดเป็น 73% ของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในปี 2562 ทำให้ทริสเรทติ้งคาดว่าระบบสมาชิก PT Max Card จะช่วยรักษาฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายให้แก่บริษัทต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปจากการขยายสถานีบริการน้ำมันอย่างต่อเนื่อง หลังจากบริษัทมีการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทจะเติบโตขึ้นอย่างน้อยประมาณ 6-7% ต่อปี และประมาณการค่าการตลาดในภาพรวมของบริษัทที่ระดับประมาณ 1.70 บาทต่อลิตร ทำให้คาดว่าในช่วงปี 2563-2565 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ประมาณ 5,900 – 6,200 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจ Non-oil ให้เป็น 20% ภายในปี 2563 โดยทริสเรทติ้ง คาดว่าหาก PTG ทำได้สำเร็จจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของราคาน้ำมันได้ และยังจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้แก่บริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันธุรกิจ Non-oil ยังมีขนาดเล็กและบางธุรกิจยังไม่ผ่านจุดคุ้มทุนในการดำเนินงาน
ขณะเดียวกันหนึ่งในธุรกิจ Non-oil ที่บริษัทได้ลงทุนคือ “โครงการปาล์มน้ำมันครบวงจร” (Palm Complex) โดยถือหุ้น 40% ซึ่งมีกำลังการผลิตไบโอดีเซล B100 ที่ระดับ 5 แสนลิตรต่อวัน ซึ่งโครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ช่วงปี 2561 อย่างไรก็ตามในระหว่างปี 2561-2562 โครงการยังใช้กำลังการผลิตได้ไม่เต็มกำลัง แต่ได้มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสามารถดำเนินการได้เต็มกำลังการผลิตในช่วงปลายปี 2562 นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายในการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลให้มากขึ้น จึงคาดว่าอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันไบโอดีเซล B100 จะมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น ดังนั้นคาดว่าในช่วงปี 2563-2565 โครงการปาล์มน้ำมันครบวงจรจะมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 จะส่งผลกดดันยอดขายของบริษัทในระยะสั้น และการแพร่ระบาดที่ส่งผลกระทบในด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยบางส่วน ซึ่งอาจจะกดดันการเติบโตของการบริโภคน้ำมันของประเทศในภาพรวมในปี 2563 และทริสเรทติ้งมองว่าการบริโภคน้ำมันจะกลับมาเติบโตในระดับปกติอีกครั้งในปี 2564