สาระสำคัญจากงานวันนักลงทุน 2017 ของ อาลีบาบา กรุ๊ป
หังโจว ประเทศจีน – 15 มิถุนายน 2560 – อาลีบาบา กรุ๊ป ยังคงยึดมั่นกับวิสัยทัศน์ระยะยาว และเป้าหมายอันท้าทายที่มาพร้อมวิสัยทัศน์ดังกล่าว โดย แจ็ค หม่า ประธานบริหารของอาลีบาบา กรุ๊ป ได้กล่าวย้ำภายในงานวันนักลงทุน 2017 หรือ 2017 Investor Day ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 8-9 มิถุนายน 2560 ณ สำนักงานใหญ่ของอาลีบาบา ในเมืองหังโจว ประเทศจีนว่า เป้าหมายของเขาคือการทำให้อาลีบาบามียอดขายรวมทั้งสิ้น 1 ล้านล้านเหรียญภายในปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 และการสร้างงาน 100 ล้านตำแหน่ง พร้อมรองรับผู้บริโภคกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลก
สำหรับปีงบประมาณ 2018 อาลีบาบา กรุ๊ป ได้ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ไว้ที่ร้อยละ 45-49 โดยจะมาจากหลายๆปัจจัยรวมกัน เช่น ความแข็งแกร่งในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศจีนซึ่งเป็นธุรกิจหลักของอาลีบาบา การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคชาวจีนที่เติบโตต่อเนื่อง และการเติบโตของผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ การคาดการณ์การเติบโตที่แข็งแกร่งดังกล่าว ยังมาจากรายได้ที่เกิดจากช่องทางใหม่ๆ และการขยายการลงทุนนอกเหนือจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซภายในประเทศ เช่น ด้านสื่อดิจิทัลและบันเทิง อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน บริการต่างๆ ในท้องถิ่น การตลาดดิจิทัล และสาขาอื่นๆ
“เราเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีรากฐานมาจากข้อมูลดาต้า” แดเนียล จาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าว “ธุรกิจของอาลีบาบา มีความหลากหลายและครอบคลุมมากกว่าบริษัทอินเทอร์เน็ตทั่วไป โดยเราได้นำเทคโนโลยีการจดจำภาพและเสียงพูด ปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงระบบประมวลผลคลาวด์ที่เร็วที่สุดในโลก มาปรับใช้และผนวกรวมไว้ในธุรกิจต่างๆ ของเรา ปัจจุบัน เรามีผู้ใช้งานกว่า 500 ล้านคนทั่วโลก โดยธุรกิจขนาดย่อมเกือบ 10 ล้านรายทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มของเราทุกวัน”
“อาลีบาบา ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางการขาย หรือแพลตฟอร์มเพื่อส่งเสริมการตลาด แต่เราสร้างโอกาสให้แก่ร้านค้าและแบรนด์ต่างๆ ในการบริหารจัดการลูกค้าตลอดวงจรการซื้อสินค้า ตั้งแต่การทำให้ลูกค้าเกิดการรับรู้ ให้ความสนใจในสินค้า ตัดสินใจสั่งซื้อ และเกิดความภักดีอย่างต่อเนื่อง นี่คือมูลค่าทางธุรกิจที่แท้จริงที่เรามอบให้แก่ผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มของเรา” แมกกี้ วู ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าว
การทำให้ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมมากขึ้น และ “การบริโภคเชิงคุณภาพ”
อาลีบาบา ทำให้ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้นด้วยคอนเทนต์ เช่น วิดีโอถ่ายทอดสดออนไลน์แนะนำสินค้าใหม่ๆ โดยยอดการแชร์คอนเทนต์ และยอดการแชร์เพจสินค้าเพิ่มสูงขึ้นถึง 80% ในเดือนเมษายน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน อีกทั้งยอดการเข้าชมเพจสินค้าที่ให้คอนเทนต์เป็นหลักเพิ่มขึ้นมากกว่า 140% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยิ่งไปกว่านั้น พบว่ายิ่งผู้บริโภคชาวจีนใช้เวลาบนแพลตฟอร์มของอาลีบาบามากเท่าไร จะยิ่งใช้จ่ายมากขึ้นเท่านั้น โดยยอดการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยต่อราย เพิ่มขึ้นจาก 3,000 หยวนในปีแรก เป็น 12,000 หยวนในปีที่ 5 ของการใช้งาน
เจ็ท จิง รองประธานของ Tmall กล่าวว่า “เว็บไซต์ B2C ของอาลีบาบา ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำหรับสิ่งที่เราเรียกว่า “การบริโภคเชิงคุณภาพ” ของชนชั้นกลางในประเทศจีนที่กำลังเพิ่มมากขึ้น โดยผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าว ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง และสินค้าแบรนด์ต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”
เมื่อการค้าปลีกแบบเก่ากลับมาในรูปแบบใหม่
ในฐานะผู้ริเริ่มและผู้ขับเคลื่อนการค้าปลีกรูปแบบใหม่ (New Retail) โดยการผสมผสานระหว่างการค้าออนไลน์และออฟไลน์ ผนวกกับการนำระบบดิจิทัลมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจค้าปลีก อาลีบาบา คาดการณ์ว่าเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและบิ๊กดาต้า จะจุดประกายให้เกิดการปฏิวัติโมเดลธุรกิจห้างร้านที่ล้าสมัย ให้ฟื้นคืนขึ้นมาในรูปแบบใหม่
“เป้าหมายของเราไม่ใช่การแย่งส่วนแบ่งตลาดจากห้างร้านต่างๆ แต่คือการสนับสนุนให้ร้านค้าเหล่านั้นใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และการตลาดและการขายออนไลน์ของอาลีบาบา เพื่อพัฒนาการดำเนินธุรกิจ ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และเพิ่มยอดขายต่อตารางฟุต” นายจางกล่าว
อนาคตที่สดใสของอาลีบาบา คลาวด์
ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา อาลีบาบา คลาวด์ ได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไอดีซีระบุว่า อาลีบาบา คลาวด์ เป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต คลาวด์ ที่ทำรายได้มากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในประเทศจีน ด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ โดยมีเว็บไซต์กว่า 37 เปอร์เซ็นต์ในประเทศจีนที่ใช้บริการคลาวด์ของอาลีบาบา
“อาลีบาบา คลาวด์ สามารถทำรายได้เติบโตเป็นตัวเลขสามหลักติดต่อกันเป็นปีที่ 8 และเรายังมองเห็นการเติบโตที่ต่อเนื่องจากทั้งลูกค้ารายใหม่ๆ และการเพิ่มปริมาณการใช้งาน” นางวูกล่าว
การสร้างมูลค่าระยะยาวสำหรับอาลีบาบา
ในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา อาลีบาบาได้ใช้เงินลงทุนกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ จากเงินลงทุนทั้งหมดสองหมื่นหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปในธุรกิจสื่อดิจิทัลและบันเทิง การขยายธุรกิจในต่างประเทศ โลจิสติกส์ รวมทั้ง ออนไลน์ ทู ออฟไลน์ และธุรกิจบริการในท้องถิ่น
“วัตถุประสงค์คือการสร้างมูลค่าในระยะยาวสำหรับอาลีบาบา และวิธีเดียวในการเพิ่มมูลค่าคือการทำให้เกิดความร่วมมือ” โจ ไฉ่ รองประธานบริหาร อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าว “การลงทุนหรือการเข้าซื้อกิจการที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ต้องสอดคล้องกับ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ การพัฒนาประสบการณ์ลูกค้า การหาผู้ใช้และผู้ใช้รายใหม่ การขยายตัวของอาลีบาบาในทางภูมิศาสตร์ หรือ การผลักดันบริษัทไปสู่ธุรกิจรีเทลแบบใหม่”
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กับ อาลีบาบา
อาลีบาบา ได้ใช้งานโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ประเภทแชทบอท (Chatbot) ซึ่งสามารถตอบคำถามลูกค้าได้กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และยังขยายขอบเขตการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หลายรูปแบบ ไปยังส่วนงานต่างๆ เช่น
โลจิสติกส์ และการค้นหาผลิตภัณฑ์ บริษัทฯ ยังลงทุนอย่างมากในการพัฒนาเทคโนโลยีจดจำเสียงพูด (Speech recognition) และในปีนี้จะมีการเปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่สั่งการด้วยเสียง ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลากหลายธุรกิจ เช่นอุตสาหกรรมโรงแรม และตลาดการศึกษา
โลจิสติกส์ และการค้นหาผลิตภัณฑ์ บริษัทฯ ยังลงทุนอย่างมากในการพัฒนาเทคโนโลยีจดจำเสียงพูด (Speech recognition) และในปีนี้จะมีการเปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่สั่งการด้วยเสียง ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลากหลายธุรกิจ เช่นอุตสาหกรรมโรงแรม และตลาดการศึกษา
“หลายบริษัทบอกว่า พวกเขามีฝ่าย AI แต่ที่อาลีบาบา AI แทรกซึมอยู่ในทุกส่วนของธุรกิจของเรา” นายไฉ่กล่าว
ท่านสามารถรับชมเทปบันทึกการแถลงข่าว และอ่านรายงานสรุปของ Investor Day ในปีนี้ได้ที่ http://www.alibabagroup.com/en/ir/investorday หรือสามารถอ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ http://www.alizila.com/key-takeaways-from-alibabas-2017-investor-day-day-one http://www.alizila.com/key-takeaways-from-alibabas-2017-investor-day-day-2
# # #
เกี่ยวกับอาลีบาบา กรุ๊ป
พันธกิจของอาลีบาบา กรุ๊ป คือการทำให้ทุกคนสามารถทำธุรกิจได้อย่างสะดวกสบายจากทุกหนแห่งทั่วโลก เรามีเป้าหมายที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคตสำหรับการประกอบธุรกิจ โดยจินตนาการถึงโลกที่ผู้คนต่างพบปะ ทำงาน และใช้ชีวิตอยู่บนแพลตฟอร์มของอาลีบาบา และมีความมุ่งหวังที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปถึง 102 ปี