ADS


Breaking News

ย้อนรำลึกงานเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสครบรอบ 70 ปีทรงครองสิริราชย์สมบัติ

สมาคมนักเรียนเก่าสวิสส์ในพระอุปถัมภ์ฯ ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น
จัดงานเทิดพระเกียรติฉลอง 70 ปีครองราชย์ ณ กรุงโลซานน์ สมาพันธรัฐสวิส
     เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เผชิญกับเหตุการณ์อันแสนโทมนัสอย่างที่ไม่เคยได้พบพานมาก่อน คือการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทางสมาคมนักเรียนเก่าสวิสส์ ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โศกเศร้าอาดูรอย่างยิ่ง แต่ภายใต้ความสูญเสียอันใหญ่หลวงในครั้งนี้ ทางสมาคมเองก็ยังตระหนักถึงภาระหน้าที่ที่จะสานต่อพระราชปณิธานของพระองค์ท่านต่อไปอย่างไม่ลดละ
    ทางสมาคมได้ทำงานถวายแด่พระองค์ท่านเรื่อยมาโดยมิขาด ซึ่งงานหนึ่งที่เราภาคภูมิใจ คือ การได้ทำงานใหญ่ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชครั้งสุดท้ายก่อนเสด็จสวรรคต โดยร่วมเผยแพร่พระราชประวัติ
พระราชจริยาวัตรอันงดงาม พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อการพัฒนาการศึกษา และการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีตามแนวพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ให้ชาวไทยและชาวสวิสได้รับทราบถึงกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้น ณ กรุงโลซานน์ สมาพันธรัฐสวิส อันเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และครอบครัวมหิดลนานถึง 17 ปี
    นางกอบลาภ โปษะกฤษณะ นายกสมาคมนักเรียนเก่าสวิสส์ ในพระอุปถัมภ์ฯ กล่าวว่า
    “…สมาคมนักเรียนเก่าสวิสส์ ในพระอุปถัมภ์ฯ ก่อตั้งมาครบ 70 ปี และทำงานอย่างต่อเนื่องในการระดมทุน เพื่อกิจกรรมการกุศลและเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการพัฒนาสังคมในด้านต่างๆ ให้ดีขึ้น ในขณะเดียวกัน ทางสมาคมก็มีหน้าที่กระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ที่เรามักจะเรียกภายในสมาคมว่าเป็น “การทูตระดับชาวบ้าน”
    “เมื่อสถานทูตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบิร์นได้เชิญให้เราเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสที่ทรงครองราชย์ครบ 70 ปี ที่กรุงโลซานน์ เมื่อเดือนกันยายน 2559 ที่ผ่านมา เราจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมสนับสนุนงานดังกล่าว โดยทางสมคมฯได้นำข้อมูลและรูปภาพที่เรามีอยู่จัดทำนิทรรศการ  “ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท” เพื่อเผยแพร่พระราชประวัติของพระองค์ท่านในขณะที่ทรงศึกษาในสวิตเซอร์แลนด์ เราภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยที่ไม่เคยคิดว่างานนี้จะเป็นงานเทิดพระเกียรติงานสุดท้าย ก่อนที่พระองค์ท่านจะสวรรคต”
    งานฉลองครองราชย์ 70 ปีเป็นไปอย่างสมพระเกียรติ ณ มหาวิทยาลัยโลซานน์ ที่พระองค์ทรงเคยศึกษาอยู่ และได้สร้างความประทับใจกับผู้เข้าร่วมทั้งชาวไทยและชาวสวิสเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการร่วมกันทำงานของคณะตัวแทนทางการทูตฝ่ายไทย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบิร์น คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา  คณะผู้แทนไทยจากองค์กรต่างๆ อีกทั้งอดีตพระสหายที่เคยร่วมชั้นเรียนของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่เดินทางมาร่วมงานและบอกเล่าเรื่องราวความประทับใจที่มีต่อพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ของปวงชนชาวไทย
    งานเริ่มจากผู้ว่าการเมืองโลซานน์กล่าวต้อนรับ และแสดงความรู้สึกเป็นเกียรติที่เมืองเล็กๆ อย่างกรุงโลซานน์ซึ่งอยู่อีกซีกโลกหนึ่งได้เคยเป็นที่ประทับและศึกษาของพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยถึงสองพระองค์ รวมถึงสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และนี่เป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้ทั้งสองประเทศเป็นมิตรที่ดีและมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น   
    แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะเสด็จนิวัติประเทศไทยนานถึง 70 ปีแล้ว ชาวสวิส โดยเฉพาะชาวโลซานน์เองยังคงจำพระองค์ได้ดี และชื่นชมในน้ำพระทัยงดงาม คนส่วนใหญ่ทราบถึงพระราชภาระอันหนักแสนสาหัส เพื่อความกินดีอยู่ดีของพสกนิกรชาวไทย และเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลกในด้านการพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้คน

    หลังจากนั้น นายนพปฏล คุณวิบูลย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น สหพันธรัฐสวิส กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ขอบคุณผู้ร่วมจัดงานและผู้มีเกียรติที่เข้าร่วม ก่อนจะมีการปาฐกถาพิเศษเรื่อง 70 ปีแห่งการครองราชย์และการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยและของโลก
    นายเตช บุนนาค ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทยฝ่ายบริหาร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติซึ่งได้ทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทมานานหลายปี ได้แสดงปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ และพระมหากรุณาธิคุณในด้านการพัฒนา โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จ         พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดำรัสมาหลายปีก่อนวิกฤตการณ์ทางการเงินของเอเชียปี 2540 หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง สลับกับได้ฉายภาพยนตร์พระราชกรณียกิจที่หลายคนไม่เคยได้ชมมาก่อน 
     หลังจากจบกิจกรรมต่างๆ แล้ว สถานทูตไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงที่ห้องด้านล่างของอาคาร ปาเลส์ เดอ รูมีน  ผู้เข้าร่วมงานทั้งไทยและต่างชาติจำนวนหลายร้อยคนให้ความสนใจกับบอร์ดนิทรรศการ “ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท” ที่สมาคมนักเรียนเก่าสวิสส์ในพระอุปถัมภ์ฯ ได้ให้การสนับสนุนจัดทำขึ้น เล่าพระราชประวัติของครอบครัวมหิดลในขณะที่ประทับอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นับตั้งแต่เสด็จมาประทับในครั้งแรกหลังจากที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงมีพระประสูติกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และในครั้งที่ 2 เมื่อครอบครัวมหิดลได้ย้ายมาประทับที่โลซานน์หลังจากที่สมเด็จ          พระบรมราชชนกสิ้นพระชนม์แล้ว ตลอดจนพระราชกรณียกิจที่สำคัญในด้านการพัฒนาการศึกษา และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
    แขกคนสำคัญอีกคนหนึ่งที่เราไม่อาจมองข้ามได้คือ  ดร. ปิแอร์ เคลเลอร์ (Pierre Keller) พระสหายร่วมห้องเรียนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ชั้นประถมที่โรงเรียนเอกอล นูแวลล์ (École Nouvelle)
หัวเข็มขัดลายนางเงือกสวมชฎา

     ซึ่งแม้ว่า ดร. ปิแอร์จะมีอายุถึง 90 ปีแล้ว แต่ยังแข็งแรงและตั้งใจมาร่วมงานฉลองครบ 70 ปีแห่งการครองราชย์ของมิตรในวัยเยาว์  ดร. ปิแอร์ ได้หยิบเข็มขัดเส้นเล็กๆ จากกระเป๋าสูทออกมาให้ชม และเล่าว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ พระราชทานเข็มขัดหนัง หัวเข็มขัดแกะเป็นลายนางเงือกสวมชฎาไว้ให้เป็นที่ระลึกหลังจากที่ได้เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติแล้ว ดร. ปิแอร์ได้เก็บรักษาของที่ระลึกจากสหายเก่าไว้เป็นอย่างดีและมักพกติดตัวมาด้วยความภาคภูมิใจเสมอ เมื่อได้มีโอกาสร่วมงานกับชาวไทย
   
นอกจากการเล่าเรื่องราวความประทับใจและความทรงจำอันทรงค่าเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่เคารพรักของคนไทยแล้ว  งานนี้ยังเป็นการรวมตัวของหน่วยงานผู้มีจิตศรัทธาด้วย โดย บริษัทเนสเล่ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้มอบทุนสนับสนุนโครงการทุนการศึกษาสายอาชีพเพื่อนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในถิ่นทุรกันดาร ที่สมาคมนักเรียนเก่าสวิสส์ในพระอุปถัมภ์ฯ จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมหาปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี เพื่อสานต่อพระราชปณิธานในด้านการสนับสนุนการศึกษาโดยเฉพาะสายวิชาชีพ ซึ่งทรงเล็งเห็นว่าเป็นวิชาที่เป็นประโยชน์ตลอดทุกช่วงของชีวิตของทุกคนและเป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนามนุษย์ในด้านต่างๆ   
    สมาคมนักเรียนเก่าสวิสส์จะได้คัดเลือกนักเรียนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อเข้าศึกษาต่อในสายอาชีพ และมีโอกาสได้มาเรียนและฝึกงานในสถาบันการศึกษาหรือองค์กรเอกชนที่เป็นพันธมิตรในสมาพันธรัฐสวิส  โดยเมื่อจบโครงการแล้ว นักเรียนทุนเหล่านี้จะต้องกลับสู่ภูมิลำเนาเดิมเพื่อส่งต่อความรู้และโอกาสในการพัฒนาตนเองให้แก่บ้านเกิดต่อไป
    นางกอบลาภ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า
    “… นับตั้งแต่การก่อตั้งสมาคมฯ มาตั้งแต่ปี 2491 สมาคมนักเรียนเก่าสวิสส์ ในพระอุปถัมภ์ ดำเนินกิจกรรมเพื่อการกุศลมาตลอดตามพระราชประสงค์ขององค์อุปถัมภ์คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เราระดมทุนให้แก่องค์กรการกุศลมาอย่างต่อเนื่อง เช่น มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีหรือ พอสว.  มูลนิธิอานันทมหิดล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย  หน่วยเฉพาะกิจสิรินธร  ทุนดนตรีคลาสสิคในพระอุปถัมภ์ฯ เป็นต้น แต่ครั้งนี้จะเป็นกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นสถานทูตสวิส ประจำประเทศไทย  สมาชิกกว่า 300 รายของสมาคม พันธมิตรที่เป็นสถาบันการศึกษาในประเทศไทยและสวิตเซอร์แลนด์หอการค้าสวิส-ไทย และชุมชนชาวสวิสในประเทศไทย มาร่วมกันทำกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช”
    แม้ว่าโครงการนี้จะริเริ่มขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติในวโรกาสที่ทางครองสิริราชสมบัติมายาวนานถึง 70 ปี แต่โครงการจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นจริงเมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสวรรคตแล้ว สมาคมฯ จึงจะได้เปิดโอกาสให้ประชาชนชาวไทยและชุมชนชาวสวิสได้ร่วมกันน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยจัดงานนิทรรศการ “ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท” อีกครั้งในประเทศไทยระหว่างวันที่ 29-30 มกราคม 2560 ที่บริเวณไลฟ์สไตล์ฮอลล์ สยามพารากอน พร้อมทั้งนิทรรศการเกี่ยวกับการศึกษาในสวิตเซอร์แลนด์ และงาน           “La Foire Suisse” ตลาดจำลองในบรรยากาศสวิส เพื่อสานสัมพันธ์ชุมชนไทยสวิสส์ในโอกาสครบรอบการก่อตั้งสมาคม 70 ปี
***********************************
** เรื่องราวเกี่ยวกับงานเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบิร์น ถูกถ่ายทอดในหนังสือ เพื่อนเดินทาง ฉบับพฤศจิกายน (23 หน้า) พร้อมทั้งพาไปเยี่ยมชมโรงเรียนเอกอล นูแวลล์ (École Nouvelle) โรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 และพระเชษฐาทรงเคยศึกษาอยู่ระหว่างปี พ.ศ.2478-2488 อีกด้วย


สมาคมนักเรียนเก่าสวิสส์ ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
สมาคมนักเรียนเก่าสวิสส์ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส- ราชนครินทร์  ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2491  และได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์  ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์ของสมาคม ฯ เมื่อ  ปี พ.ศ. 2537
     วัตถุประสงค์การจัดตั้ง คือ  เพื่อรวบรวมนักเรียนเก่าให้ได้ร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ  ร่วมกับชาวสวิสส์ในประเทศไทย  เพื่อสืบสานความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศตลอดจนการแลกเปลี่ยนความรู้ บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม และเป็นการพบปะสังสรรค์
     นางกอบลาภ วัฒนศิริโรจน์ นายกสมาคม เปิดเผยว่า “กิจกรรมส่วนใหญ่ของสมาคมจัดขึ้นเพื่อหารายได้ให้กับมูลนิธิ และองค์กรที่อยู่ภายใต้พระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านมีต่อนักเรียนสวิสส์  อาทิ การจัดงาน La Soiree Suisse ในเดือนพฤศจิกายน 2551 และการจัดงาน La Foire Suisse ร่วมกับสถานทูตสวิสประจำประเทศไทย  และบริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย จำกัด มหาชน ในเดือนธันวาคม 2552 เพื่อสมทบทุนให้แก่ มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และองค์กรการกุศลอื่น ๆ เสมอมา และงานนิทรรศการสยามนิทรรศน์รัชมงคลเมื่อ พ.ศ. 2555 เพื่อระดมทุนให้แก่มูลนิธิอานันทมหิดล เป็นต้น”

     “สำหรับในปีนี้ สมาคมจะฉลองสองวาระสำคัญยิ่งใหญ่ ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 70 ปี  และในโอกาสครบรอบการก่อตั้งสมาคม 70 ปี เพื่อระดมทุนให้กับสองโครงการกุศลหลักที่จะเกิดขึ้นคือ
  1. จัดการมอบ “ทุน ๗๐ ปี สมาคมนักเรียนเก่าสวิสส์ ในพระอุปถัมภ์ฯ” ตามโครงการจัดหาทุนการศึกษาสายอาชีพ สำหรับนักศึกษาที่ขาดโอกาสทางการศึกษา เพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน เพื่อสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาทักษะวิชาชีพ ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศในระดับพื้นฐานในทุกด้าน สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการผลิตและพัฒนากำลังคนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ โดยขยายโอกาสทางการศึกษาและส่งเสริมการศึกษาสายอาชีพ อันจะขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเองได้อีกด้วย  ทั้งนี้ สมาคมจะพิจารณามอบทุนให้แก่นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยเฉพาะนักเรียนในโรงเรียนตชด. หรือนักเรียนในพื้นที่ทุรกันดาร และเมื่อนักเรียนทุนสำเร็จการศึกษาสายอาชีพ (ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง หรือปริญญาเทคโนโลยี)  และผ่านการฝึกทักษะหรือฝึกอาชีพกับสถานประกอบการแล้ว  นักเรียนทุนจะต้องกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม และนำความรู้ที่ได้รับมาไปประกอบอาชีพ เพื่อพัฒนาภูมิลำเนา และถ่ายทอดความรู้ให้แก่ชุมชนต่อไป เป็นตัวอย่างที่ดีในด้านการพึ่งพาตัวเองอันจะส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ในระยะยาว ซึ่งจะมอบทุนการศึกษา จำนวนทั้งสิ้น ๔ ทุน  ได้แก่
  • ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช) สำหรับผู้จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับ ปวช. ระยะเวลา ๓ ปี  จำนวน ๓ ทุน โดยแบ่งเป็นทุนนักเรียนที่มีผลการเรียนดี ๒ ทุน และทุนบุตรครู ตชด. ๑ ทุน
  • ทุนฝึกงานในสมาพันธรัฐสวิสในสาขาเกษตรกรรม  ให้แก่ผู้จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) ระยะเวลา ๖-๙ เดือน  จำนวน ๑ ทุน

         สถาบันการศึกษาที่เป็นพันธมิตร
- สถาบันการศึกษาในประเทศไทย ได้แก่ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลางซึ่งมีวิทยาลัยเครือข่าย ๑๑ แห่ง  และสถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานครซึ่งมีวิทยาลัยในเครือข่าย ๑๓ แห่ง  
- สถาบันการศึกษาในสมาพันธรัฐสวิส ได้แก่ Ecole D’agriculture du Valais Chateauneuf เมือง Sion สถาบัน BFS Basel และสถาบัน Allgemeine Gewerbeschule Basel เมืองบาเซิล มณฑลบาเซิล-ชตัดท์ หรืออื่นๆ ตามที่สมาคมฯ ได้ทำข้อตกลงร่วมกัน

2. จัดหาซื้อเครื่องมือแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลวัดจันทร์เฉลิมพระเกียรติ  จ. เชียงใหม่
     โดยนางกอบลาภ กล่าวเพิ่มเติมว่า สมาคมฯ จะระดมทุนผ่าน ๒ กิจกรรมหลัก ได้แก่
1. รับบริจาคสมทบทุนโครงการฯ จากผู้มีจิตศรัทธาโดยเริ่มรับบริจาคตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
2. จัดกิจกรรมพิเศษ La Foire Suisse ในวันจันทร์ที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.  ๒๕๖๐  เป็นกิจกรรมเผยแพร่การศึกษาสายอาชีพและวัฒนธรรมของสมาพันธรัฐสวิสในรูปแบบตลาดพื้นเมืองที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของชาวสวิส นิทรรศการและงานออกร้านต่างๆ โดยนำรายได้จากการจัดงานหลังหักค่าใช้จ่ายเข้าสมทบโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ โรงแรมในเครือ VICTORIA-JUNGFRAU COLLECTION ซึ่งเคยจัดพระกระยาหารค่ำถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถเมื่อครั้งเสด็จเยือนสมาพันธรัฐสวิสจะนำเชฟมาปรุงอาหารในงานดังกล่าวสำหรับแขกพิเศษ  ทั้งนี้ ได้รับพระกรุณาธิคุณ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีจะเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงาน ทอดพระเนตรนิทรรศการ ทรงเยี่ยมชมงานออกร้านและทรงปรุงอาหารพิเศษ อีกด้วย
     อนึ่งกิจกรรมของสมาคมได้รับความสำเร็จอย่างน่าชื่นชมทุกปี โดยมีเป้าหมายหลักในการจัดกิจกรรมเพื่อการกุศลเป็นประจำทุกปี เช่น มีการจัดแข่งกีฬา  เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของสมาคม ฯ กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน และการจัดงานจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์จากสวิสเซอร์แลนด์ และประเทศอื่น ๆ รวมถึงอาหาร และเครื่องดื่ม ในบรรยากาศสวิสส์ ทั้งนี้ภายในงาน สมาคม ฯ จะเปิดรับสมาชิกใหม่ทุกปี  เพื่อขยายฐานสมาชิกและนำความรู้ความสามารถของสมาชิกเหล่านั้นมาช่วยพัฒนาสมาคม ฯ และสังคมต่อไป