ADS


Breaking News

คุณยังจำบรรยากาศอันร้อนระอุที่แผดเผาในช่วงหน้าร้อนกันได้ไหม?

     ความร้อนที่เมืองไทย ทำให้เหล่าชาวนาต้องหวาดกลัวต่ออนาคตของเขา
     ถึงแม้ฝนอาจจะช่วยชะล้างความทรงจำเหล่านั้นออกไปบ้างแล้ว แต่ในเมื่อคลื่นความร้อนยังคงอยู่ จึงทำให้หลายคนต้องฉุกคิดถึงสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้
     ไม่ว่าอุณหภูมิจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะทำให้แนวโน้มการเกิดภาวะอากาศแปรปรวนมีมากขึ้น
     การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศนับเป็นภาวะวิกฤตในอนาคต ซึ่งเป็นหัวข้อที่เป็นประเด็นสำคัญในการในการพิจารณากันที่ World Cities Summit ประเทศสิงคโปร์เมื่อเร็วๆ นี้
     การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในปัญหาที่ท้าทายที่สุดในโลก ในทางหนึ่ง ยิ่งประชากรในโลกเพิ่มมากขึ้น และมีมาตรฐานในการดำรงชีพที่สูงขึ้น ความต้องการพลังงานก็ยิ่งมีมากขึ้นตามไปด้วย และในอีกทางหนึ่ง นี่หมายถึงความจำเป็นที่จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และหัวใจหลักในการแก้ปัญหานี้ได้ก็คือ เมืองต่างๆ นั่นเอง
     ประชากรทั่วโลกกำลังเพิ่มมากขึ้นทุกวัน จาก 7 พันล้านคน สู่หมื่นล้านคนภายในปลายศตวรรษนี้ และด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น  เราคาดว่าการเติบโตของเมืองต่างๆ ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในโลกยังอาศัยอยู่แค่ในเมือง ภายในปี 2050  สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 3 ใน 4 โดยครึ่งหนึ่งในนั้นเป็นการเติบโตจากประชากรในทวีปเอเชียเท่านั้น
     ปัจจุบันเมืองต่างๆ ใช้พลังงานไปมากถึง 2 ใน 3 ของพลังงานรวมทั้งหมดในโลก และภายในปี 2014 คาดว่าเมืองเหล่านี้จะใช้พลังงานในโลกไปเกือบ 80%
     ความต้องการพลังงาน ทำให้เห็นว่าพลังงานจำเป็นสำหรับชีวิตพวกเราทุกคน – ซึ่งกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
     แม้จะมีความพยายามอย่างยิ่งยวดในการนำพลังงานมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ปริมาณของพลังงานที่โลกเราต้องใช้ภายในปลายศตวรรษนี้ ก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีกถึง 2 เท่าจากปัจจุบัน แล้วเราจะหยุดการสะสมของก๊าซเรือนกระจก อย่างคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในชั้นบรรยากาศได้อย่างไร?
     ทีมนักอนาคตศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจำลองสถานการณ์ ได้ทำการออกแบบให้การแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นไปได้ในอนาคต ได้ตีพิมพ์ข้อมูลล่าสุดเรื่อง “สู่ชีวิตที่ดีกว่ากับโลกไร้มลพิษ: เส้นทางสู่ภาวะการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์” (A Better Life with a Healthy Planet: Pathways to Net Zero Emissions)
     จากข้อมูลดังกล่าว เราเล็งเห็นเส้นทางที่แม้จะดูท้าทายแต่ก็มีความเป็นไปได้ ในการทำให้การปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในโลกนี้กลายเป็นศูนย์ ซึ่งหมายถึงการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดที่มีอยู่นั้นถูกชดเชย กักเก็บ หรือ หรือสะสมไว้ใต้ผิวดิน ซึ่งนี่ไม่ใช่เป้าหมายสำหรับเชลล์เท่านั้น แต่เป็นเป้าหมายที่โลกของเราต้องทำให้บรรลุผลสำเร็จ
     เมืองต่างๆ และการวางแผนการสำหรับเมืองเหล่านี้ จะเป็นหัวใจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งมีโอกาสมหาศาลที่จะทำให้เราสามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผ่านการตั้งเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ ได้แก่  การนำความร้อนที่เหลือใช้จากการผลิตพลังงานมาเพิ่มความอบอุ่นในบ้าน สนับสนุนการอยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูงเพื่อลดการเดินทาง สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนที่มีขนาดเล็ก และ สร้างระบบการขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพสูง
     พลังงานผสมผสานที่มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ นั้นก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน  ยกตัวอย่างเช่น ก๊าซธรรมชาติที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาน้อยกว่าปกติถึงครึ่งหนึ่ง และปล่อยมลพิษจากถ่านหินออกมาเพียง 1 ใน 10 เมื่อมีการนำมาเผาไหม้เพื่อใช้เป็นพลังงาน
     นอกจากนี้สถานีพลังงานก๊าซยังทำงานได้เป็นอย่างดีในด้านการหมุนเวียนพลังงานมาใช้ใหม่ และสามารถให้บริการไฟฟ้าที่ไว้วางใจได้ ยามปราศจากแสงอาทิตย์หรือลม
     อย่างไรก็ตาม การเพิ่มเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (carbon capture and storage – CCS) ให้กับสถานีพลังงาน และ กลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จนกลายเป็นศูนย์ได้
     แน่นอนว่า การนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรูปแบบพลังงานผสมผสาน แต่โดยหลักจะเป็นการผลิตไฟฟ้ามากกว่า
     ในปัจจุบัน ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่นำมาใช้น้อยกว่า 1 ใน 5 จากการใช้พลังงานทั่วโลก หากต้องการให้พลังงานทดแทนกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยลดการใช้พลังงานนั้น แผนการใช้พลังงานแบบผสมผสานต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50% ของพลังงานทั้งหมด
     ซึ่งนี่หมายความว่าผู้คนในโลกจะต้องมีเงินพอจ่ายสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าไฮโดรเจน ครัวเรือนและธุรกิจต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ความร้อนเหลือใช้จะต้องได้รับความอบอุ่นจากไฟฟ้าแทน การแปรรูปอาหารและการผลิตไฟก็จะต้องทำด้วยระบบไฟฟ้าเช่นกัน
     อย่างไรก็ตาม แม้เราจะเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้า แต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะยังคงแทรกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศต่อไปอีกในอนาคต
     การผลิตสารเคมีที่ใช้ในสิ่งต่างๆ รอบตัวแต่เรามักมองข้ามไป ก็จะต้องใช้น้ำมันและก๊าซในการผลิตมากขึ้น เมื่อยังจำเป็นที่จะต้องกักเก็บอุณหภูมิที่สูงมากและพลังงานที่หนาแน่นไว้ เช่น ในการผลิตเหล็ก เหล็กกล้าและซีเมนต์ การขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมากและการขนส่งทางอากาศ เราจะยังคงได้เห็นการใช้พลังงานไฮโดรคาร์บอนต่อไปอีกเกือบจะแน่นอน
     แต่ก็ยังมีอีกหลายภูมิภาคในโลกนี้ที่หันมาใช้พลังงานคาร์บอนต่ำในระดับที่ต่างกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือ ประชากรก็ตาม
การปล่อยมลพิษที่กำลังเพิ่มขึ้นจะต้องได้รับการยับยั้ง  โดยเราสามารถปลูกป่าและใช้กิจกรรมทางการเกษตรเพื่อเพิ่มปริมาณคาร์บอนในดินได้ เช่น  การกลบไถมวลชีวภาพที่เผาไหม้เป็นบางส่วนไปในทุ่งนา


     นอกจากนี้เรายังสามารถเผาไหม้มวลชีวภาพเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานควบคู่ไปกับการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS)  ได้อีกด้วย โดยพืชนั้นสามารถดูดคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศไว้ได้ และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) จะช่วยทำให้แน่ใจว่าคาร์บอนไดออกไซด์จะไม่กลับไปสู่ชั้นบรรยากาศอีกครั้ง


     ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือที่อื่นๆ วิธีแก้ไขปัญหาทั้งหมดทั้งมวลนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ หากเราทุกคนในโลกร่วมมือกันตั้งแต่วันนี้
     เจอรามี่ เบนแธม รองประธานฝ่ายธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมโลก และหัวหน้าทีมพัฒนาธุรกิจ บริษัท เชลล์