พม. ผสาน ยธ.-สธ. ลดเหลื่อมล้ำทางสังคม ดูแลกลุ่มเปราะบางแบบไร้รอยต่อ ยกระดับการเข้าถึงความยุติธรรม–สุขอนามัย
พม. ผนึกกำลัง ยธ. - สธ. ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ช่วยกลุ่มเปราะบาง อำนวยความยุติธรรม พร้อมดูแลสุขอนามัยแบบไร้รอยต่อ

วันที่ 2 ธันวาคม 2568 — กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างเป็นรูปธรรม จับมือ กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) และ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่ออำนวยความยุติธรรมและบูรณาการการดูแลสุขอนามัยแบบไร้รอยต่อแก่กลุ่มเปราะบาง พร้อมจัดกิจกรรม Kick off การทำงานร่วมกันอย่างเป็นทางการ ณ โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ กรุงเทพมหานคร
พิธีลงนามได้รับเกียรติจาก
-
นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. เป็นประธาน
-
นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง ปลัด พม.
-
นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัด ยธ.
-
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองปลัด สธ.
ร่วมลงนาม พร้อมผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสามกระทรวงเข้าร่วมเป็นสักขีพยานอย่างคับคั่ง
เดินหน้านโยบาย “พม.ใกล้คุณ” สู่ “นโยบายใกล้บ้าน–ถึงบ้าน”
นายอัครา พรหมเผ่า กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันนโยบาย “พม.ใกล้คุณ” ให้เข้าถึงประชาชนได้เร็วขึ้น ลดรายจ่าย–สร้างรายได้–รีสตาร์ทชีวิต โดยเน้นระบบ Family First ดูแลทุกครอบครัวแบบไร้รอยต่อ เชื่อมโยงสิทธิและสวัสดิการที่ประชาชนพึงได้รับในทุกช่วงวัย
ความร่วมมือนี้ยังสอดรับกับนโยบายด้านคุณภาพชีวิตและคนเปราะบางของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลประชาชนทั่วประเทศ
เพิ่มการเข้าถึงความยุติธรรม ใช้ไกล่เกลี่ย–สมานฉันท์ ช่วยลดข้อพิพาท
รมว.พม. ระบุว่า การบูรณาการร่วมกับ ยธ. จะช่วยให้กลุ่มเปราะบางเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่ายขึ้น ผ่านกระบวนการ เช่น
-
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
-
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice)
-
การคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ ทั้งสามกระทรวงจะร่วมพัฒนาศักยภาพบุคลากร จัดทำหลักสูตรอบรมการไกล่เกลี่ย เพื่อเสริมทักษะในการจัดการความขัดแย้งและส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม
บูรณาการสุขอนามัยไร้รอยต่อ ส่งต่อการรักษาอย่างรวดเร็ว
ความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขจะช่วยให้ระบบดูแลสุขภาพของกลุ่มเปราะบางดำเนินไปอย่าง “ไร้รอยต่อ” ผ่านการทำงานร่วมกัน เช่น
-
ระบบส่งต่อผู้ป่วยไปยังหน่วยบริการสุขภาพ
-
การดูแลรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
-
การส่งเสริมสุขภาพ
-
การบริการด้านสาธารณสุขที่เข้าถึงง่ายขึ้น
ผลลัพธ์ คือ ประชาชนกลุ่มเปราะบางจะได้รับการดูแลครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพ สังคม และกฎหมายในเวลาเดียวกัน
ดร.ธนกฤต ชี้ 3 กระทรวงต้องเดินไปด้วยกัน เพื่อดูแลประชาชนตั้งแต่เกิดถึงวัยชรา
นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.พม. กล่าวเสริมว่า แนวคิดการบูรณาการครั้งนี้เกิดจากเจตนารมณ์ของ รมว.พม. ที่ต้องการให้หน่วยงานหลักทั้ง 3 คือ พม.–สธ.–ยธ. เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน เพราะประชาชนกลุ่มเปราะบางต้องได้รับการดูแลทั้งด้าน
-
สิทธิและสวัสดิการ (พม.)
-
สุขภาพ (สธ.)
-
กฎหมายและความยุติธรรม (ยธ.)
ดร.ธนกฤต ยกตัวอย่างล่าสุดกรณี อุทกภัยภาคใต้ ที่ทั้ง 3 กระทรวงต้องทำงานร่วมกัน ช่วยเหลือประชาชนทั้งในด้านสวัสดิการ สุขภาพ และปัญหากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความเสียหาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการทำงานแบบบูรณาการอย่างแท้จริง
ก้าวสำคัญสู่ความเสมอภาค ลดเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมที่ใครก็เข้าถึงสวัสดิการได้
การลงนาม MOU ครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับระบบดูแลประชาชนแบบ “ครอบคลุมทุกมิติ” ทั้งสุขภาพ–กฎหมาย–สังคม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ต้องการการคุ้มครองใกล้ชิดมากที่สุด
พม. ยธ. และ สธ. จะใช้ความเชี่ยวชาญของแต่ละกระทรวงร่วมกันเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด Care Economy และ “ไม่ปล่อยใครไว้ข้างหลัง”
