วิเคราะห์เหตุ กันสาดทรุด เขตพระนคร: 4 ปัจจัยเสี่ยงโครงสร้างอาคารเก่า 100 ปี
กันสาดทรุดปากซอยสำราญราษฎร์ 2568: สาเหตุจากอาคารเก่า 100 ปี – บทเรียนจากเหตุการณ์ถล่มในอดีตกรุงเทพ
กรุงเทพฯ, 3 ตุลาคม 2568 – เหตุการณ์กันสาดอาคารพังถล่มที่ปากซอยสำราญราษฎร์ เขตพระนคร เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา สร้างความตื่นตระหนกให้ชาวย่านเก่าแก่ใจกลางเมือง แต่โชคดีที่เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน 5 รายที่ติดค้างภายในบ้านได้อย่างปลอดภัยทั้งหมด ล่าสุดสถานการณ์คลี่คลายแล้ว จราจรกลับสู่ปกติ แต่ยังคงปิดกั้นพื้นที่เสี่ยงเพื่อป้องกันอันตรายซ้ำซาก
ในยุคที่กรุงเทพฯ กำลังเผชิญปัญหาโครงสร้างเก่าแก่ท่ามกลางการขยายตัวแบบเร่งด่วน เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ "กันสาดทรุด" กลายเป็นภัยร้ายเงียบ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปัญหาหลักมาจากอายุอาคารและสภาพแวดล้อมเมืองใหญ่ หากไม่แก้ไขทันท่วงที อาจนำไปสู่หายนะใหญ่หลวง มาดูกันว่าสาเหตุคืออะไร บทเรียนจากอดีตบอกอะไร และเราจะป้องกันอย่างไรในอนาคต
อัปเดตสถานการณ์ล่าสุด: คลี่คลายแล้ว แต่ยังเสี่ยง!
หลังเกิดเหตุช่วงบ่ายวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทีมเจ้าหน้าที่จากสำนักการโยธา สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานเขตพระนคร สถานีดับเพลิง-กู้ภัย ตำรวจ สน.สำราษฎร์ และหน่วยงานอื่นๆ บูรณาการทำงานอย่างรวดเร็ว โดยเวลา 20.00 น. ของวันเดียวกัน ได้ติดตั้งผ้าใบกันฝน เคลียร์เศษวัสดุ และเปิดจราจรตามปกติแล้ว
อย่างไรก็ตาม บริเวณที่ประเมินแล้วยังไม่ปลอดภัย เจ้าหน้าที่ได้กั้นพื้นที่และจัดกำลังดูแลเข้มงวด ผู้ว่าฯ กทม. สั่งเร่งสำรวจอาคารเสี่ยงและอาคารเก่าทั่วเขตพระนครทันที เพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอย
4 สาเหตุหลักที่ทำให้กันสาดทรุด: มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญโครงสร้าง

ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และอาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้วิเคราะห์สาเหตุหลัก 4 ประการจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งสะท้อนปัญหาโครงสร้างเก่าในกรุงเทพฯ:
- อายุอาคารมากเกิน 90 ปี: ตึกแถวที่เกิดเหตุสร้างมานานกว่า 100 ปี วัสดุอย่างคอนกรีตและเหล็กเสริมในยุคนั้นมีกำลังรับน้ำหนักต่ำ เมื่อเวลาผ่านไปจึงเสื่อมสภาพเร็ว
- โครงสร้างแบบยื่นปลาย (Cantilever): กันสาดยึดติดกับตัวอาคารด้านเดียว ทำให้รับน้ำหนักได้ยาก เสี่ยงยุบตัวสูงกว่าโครงสร้างปกติ
- สัมผัสสภาพอากาศภายนอก: ลม ฝน แสงแดด ทำให้เกิดรอยร้าว ความชื้นซึมเข้าเหล็กเสริม จนเกิดสนิมและสูญเสียความแข็งแรง
- มลพิษสิ่งแวดล้อมในเมือง: ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์และการเผาไหม้ เร่งให้เกิด "คาร์บอเนชั่น" ในคอนกรีต ทำให้เหล็กสนิมง่ายขึ้น
จากมุมมองวิศวกรอย่าง ศ.ดร.อมร ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีช่วยได้มาก เช่น การใช้โดรนสแกนโครงสร้างหรือเซ็นเซอร์ IoT ตรวจจับรอยร้าวแบบเรียลไทม์ เราควรนำมาใช้เพื่อป้องกันก่อนสายเกินแก้
วิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีต: กันสาดทรุดเกิดซ้ำซาก – บทเรียนอะไร?
กรุงเทพฯ มีประวัติศาสตร์ยาวนานกับปัญหาโครงสร้างเก่า โดยเฉพาะย่านชุมชนเก่าแก่ที่อาคารอายุ 50-100 ปีเต็มไปหมด เหตุการณ์กันสาดทรุดหรืออาคารถล่มเกิดขึ้นบ่อยครั้ง สะท้อนถึงการขาดการบำรุงรักษาและนโยบายที่ยังไม่ครอบคลุม นี่คือตัวอย่างสำคัญในรอบทศวรรษที่ผ่านมา:
ปี 2024 เกิดเหตุ 2 ที่ ที่แรกเจริญกรุง ฝ้ากันสาดถล่มหลังฝนตก เกิดจากกันสาดอุ้มน้ำและโครงเหล็กผุ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และที่สองจรัญฯ 57 กันสาดพังถล่มใส่คนเดินถนน เกิดจากสภาพเก่า
ปี 2023 เกิดเหตุที่เจริญกรุง 72/5 กันสาดอายุ 40 ปีทรุดหลังฝนตกหนัก ทับรถ 2 คัน เกิดจากฝนหนักและการเสื่อมสภาพจากอากาศ
ปี 2022 เกิดเหตุที่แยกศรีลาซาลกันสาดตึกแถวยื่นถล่มลงถนน เกิดจากอาคารเก่าและการใช้งานหนัก
ปี 2021 เกิดเหตุที่ลาดพร้าวซอย 8 ตึกเก่าระหว่างรื้อถอนถล่ม ผู้รับเหมาอ้างแค่ชิ้นส่วนหล่น เกิดจากการรื้อถอนไม่ปลอดภัยและโครงสร้างเสื่อม
ปี 2020 เกิดเหตุที่ศรีนครินทร์ กันสาดอาคาร 9 ชั้นพังถล่ม โชคดีไร้เจ็บ เกิดจากสภาพเก่ากว่า 20 ปีและรอยร้าวที่แจ้งแล้วแต่ไม่ซ่อม
จากเหตุการณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจาก "การเสื่อมสภาพตามเวลา" และ "สภาพอากาศรุนแรง" คล้ายกับกรณีสำราญราษฎร์ปีนี้ แต่ต่างกันที่ปี 2023 มีผู้เสียหายทางวัตถุมากกว่า แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้หายไป หากแต่รุนแรงขึ้นตามอายุอาคาร หากย้อนดูไกลกว่านั้น กรุงเทพฯ เคยมีเหตุใหญ่เช่นอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถล่มจากแผ่นดินไหวเมื่อ 28 มีนาคม 2568 มีผู้เสียชีวิตและสูญหายมากมาย สะท้อนว่าธรรมชาติและมนุษย์ร่วมสร้างหายนะได้
แง่คิดมุมมองต่างๆ: จากภัยร้ายสู่โอกาสยั่งยืน
เหตุการณ์นี้ชวนให้คิดหลายมุม โดยเฉพาะในยุคที่กรุงเทพฯ ต้องสมดุลระหว่างอนุรักษ์มรดกและความปลอดภัย:
- มุมชุมชนและประชาชน: หลายคนในย่านเก่าอย่างสำราษฎร์มองว่า "อาคารเก่าเป็นเอกลักษณ์" แต่ต้องแลกด้วยความเสี่ยง ผู้อยู่อาศัยควรตื่นตัว สังเกตสัญญาณเตือนอย่างคราบสนิม รอยร้าวใหญ่ หรือกันสาดเอียง แล้วแจ้ง กทม. ทันที เพื่อไม่ให้กลายเป็น "ระเบิดเวลากลางเมือง"
- มุมรัฐบาลและนโยบาย: กทม. ควรเร่งขยายโครงการสำรวจอาคารเสี่ยงทั่วกรุง โดยใช้ AI และโดรนลดต้นทุน เหมือนที่สิงคโปร์ทำสำเร็จ ลดเหตุถล่มลง 70% ใน 5 ปี นอกจากนี้ การให้เงินอุดหนุนซ่อมแซมอาคารเก่าจะช่วยให้เจ้าของไม่ละเลย
- มุมวิศวกรและเทคโนโลยี: ศ.ดร.อมร แนะนำ "การบำรุงรักษาเชิงรุก" เช่น ทาสีกันซึมหรือเสริมเหล็กด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งทันสมัยและประหยัดกว่าเปลี่ยนใหม่ มันไม่ใช่แค่ซ่อม แต่คือการอัปเกรดให้อาคารเก่ารับมือ climate change ได้
- มุมยั่งยืนและเศรษฐกิจ: อาคารเก่าเหล่านี้คือมรดกวัฒนธรรม หากปรับปรุงให้เป็น co-working space หรือ eco-friendly building จะสร้างรายได้ให้ชุมชน แทนที่จะรื้อทิ้ง ซึ่งอาจก่อขยะก่อสร้างมหาศาล สอดคล้องกับเป้าหมาย SDG 11: เมืองและชุมชนยั่งยืน
คำแนะนำป้องกัน: อย่ารอให้สายเกินแก้!
กรุงเทพมหานครขอความร่วมมือเจ้าของอาคารและประชาชน หากพบความผิดปกติ เช่น ผนังแตกร้าว ปูนกะเทาะ สนิมเหล็ก หรือกันสาดเอียง รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ กทม. ตลอด 24 ชม. เพื่อตรวจสอบและแก้ไขด่วน ป้องกันเหตุซ้ำในอนาคต
ในที่สุด เหตุการณ์กันสาดทรุดซอยสำราษฎร์ไม่ใช่แค่ข่าวช็อกรายวัน แต่เป็นสัญญาณเตือนให้กรุงเทพฯ "อัปเดต" โครงสร้างเก่าให้เข้ากับยุคสมัย หากเราร่วมมือกัน เมืองหลวงนี้จะปลอดภัยและน่าอยู่ยิ่งขึ้น
Cr: เพจสำนักงานเขตพระนคร







