สำนักงานขนส่งจังหวัดน่าน เปิดตัวโครงการนำร่อง “รถโดยสารปลอดภัย ใส่ใจผู้เดินทาง” ยกระดับขนส่งสาธารณะ-ท่องเที่ยวน่านอย่างยั่งยืน
สำนักงานขนส่งจังหวัดน่าน เดินหน้านำร่อง “โครงการส่งเสริมการเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางที่ปลอดภัยใส่ใจผู้เดินทาง” จังหวัดน่าน ยกระดับคุณภาพบริการ ตอบโจทย์ประชาชนและนักท่องเที่ยว พร้อมส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน

สำนักงานขนส่งจังหวัดน่าน ร่วมกับจังหวัดน่าน เดินหน้านำร่อง “โครงการส่งเสริมการเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางที่ปลอดภัย ใส่ใจผู้เดินทาง” มุ่งยกระดับระบบขนส่งสาธารณะให้ได้มาตรฐาน สะดวก และปลอดภัย ตอบโจทย์ประชาชนและนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งสอดแทรกการรณรงค์ วัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน
โครงการดังกล่าวไม่เพียงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ แต่ยังมีการออกแบบ สื่อประชาสัมพันธ์บนรถโดยสารด้วยลวดลายอัตลักษณ์ของจังหวัดน่าน เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์ท้องถิ่น สื่อสารด้านความปลอดภัย และสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่โดดเด่น
นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เปิดเผยว่า จังหวัดน่านมีปริมาณรถยนต์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว ส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจรและอุบัติเหตุ โครงการนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มทางเลือกการเดินทางที่ปลอดภัยและทันสมัย โดยได้มีการปรับปรุงเส้นทางเดินรถหมวด 1 และหมวด 4 ครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น
- วัดภูมินทร์
- วัดพระธาตุช้างค้ำ
- วัดมิ่งเมือง
- วัดศรีพันต้น
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน
พร้อมกิจกรรมเปิดตัวเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวหันมาใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ลดการใช้รถส่วนบุคคล ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ โดยเฉพาะเส้นทางลาดชันหรือถนนที่ไม่คุ้นเคย
นางสาวรัชนี ศรีชัยตัน ขนส่งจังหวัดน่าน กล่าวว่า โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) โดยให้ความสำคัญกับการตรวจสภาพรถ การคัดเลือกพนักงานขับรถที่มีประสบการณ์ และการออกแบบลวดลายบนรถที่สะท้อนความเป็นน่าน เพื่อสร้างทั้งความปลอดภัย ความมั่นใจ และความประทับใจให้แก่ผู้โดยสาร
ทั้งนี้ โครงการคาดว่าจะช่วยลดความแออัดจราจร ลดอุบัติเหตุทางถนน และส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดน่านในเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังทำหน้าที่เป็น สื่อรณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัย เพื่อบรรลุเป้าหมาย “ถนนปลอดภัย ผู้ขับขี่มีวินัย และสังคมไทยลดอุบัติเหตุได้อย่างยั่งยืน”