“น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” วช. จุฬาฯ ม.เกษตร และกรมอุตุฯ เผยชุดข้อมูลรับมือภัยพิบัติในภาคกลาง ด้วยวิจัยและนวัตกรรม
แถลงข่าว: แนวโน้มสถานการณ์อากาศและน้ำท่วมในภาคกลาง 2568
วันที่ 28 กันยายน 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับเครือข่ายวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรมอุตุนิยมวิทยา จัดกิจกรรมแถลงข่าว “แนวโน้มสถานการณ์อากาศและน้ำท่วมในภาคกลาง วิจัยนวัตกรรมมีคำตอบ” โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธาน ณ ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศกลางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ วช.

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการติดตามสถานการณ์น้ำของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากมรสุมที่พัดผ่านหลายภูมิภาค ส่งผลให้เกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ จากสถานการณ์ดังกล่าว วช. ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมมาใช้เป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวัง รับมือ และฟื้นฟูจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องเฝ้าระวังพายุโซนร้อน “บัวลอย” ซึ่งก่อให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก และมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคกลาง

ในการนี้ วช. นำชุดความรู้จากแผนงานวิจัย "น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง" นำโดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ พร้อมด้วยทีมวิจัย เพื่อนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี และข้อมูลเชิงพื้นที่ สนับสนุนหน่วยงานในพื้นที่เสี่ยงภัยให้สามารถเฝ้าระวัง วางแผน และรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที



ภายในงานแถลงข่าว มีการเสวนาเรื่อง “แนวโน้มสถานการณ์อากาศและน้ำท่วมในภาคกลาง วิจัยและนวัตกรรมมีคำตอบ” ดำเนินรายการโดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. ของ วช. พร้อมด้วยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญใน 3 ประเด็น:




ประเด็น “สถานการณ์อากาศในภาคกลาง” โดย ดร.ชลัมภ์ อุ่นอารีย์ กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่าพายุบัวลอยอ่อนกำลังลงแล้ว คาดว่าจะขึ้นฝั่งที่เวียดนามและเคลื่อนตัวไปทางจีนตอนใต้ และมีแนวโน้มพายุใหม่ก่อตัวในวันที่ 5-7 ต.ค. ซึ่งจะเพิ่มปริมาณฝนในภาคอีสานตอนบนและภาคกลางตอนบน ในภาวะลานีญาทำให้พายุเกิดง่ายและเคลื่อนตัวเร็วแต่กำลังไม่แรง

ประเด็น “สถานการณ์และแนวโน้มน้ำท่า” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไชยาพงษ์ เทพประสิทธิ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่าพายุก่อนหน้าทำให้ปริมาณน้ำกักเก็บและน้ำในลำน้ำมากกว่าร้อยละ 80 จำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำ แต่แนวโน้มลดลง เนื่องจากน้ำไหลเข้ายังควบคุมได้ ผลกระทบจะอยู่ในพื้นที่ต่ำและนอกคันกั้นน้ำ ซึ่งน้ำทะเลยังไม่หนุนสูง จึงจัดการได้

ประเด็น “มาตรการจัดการน้ำในพื้นที่ภาคกลาง” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.บัญชา ขวัญยืน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่าทุกหน่วยงานเตรียมการตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยระบายน้ำให้เร็วที่สุดตามการคาดการณ์ล่วงหน้าและเกณฑ์การจัดการน้ำตาม พ.ร.บ.การบริหารจัดการน้ำ อย่างไรก็ตาม ลุ่มน้ำยมที่น่าเป็นห่วงเนื่องจากทุ่งรับน้ำเต็มแล้ว แต่ภาคกลางตอนล่างยังมีศักยภาพรับน้ำได้

วช. หวังว่าผลงานวิจัยและนวัตกรรมจะสามารถถ่ายทอดไปสู่การประยุกต์ใช้ในระดับพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการเตรียมความพร้อม วางแผน และดำเนินการรับมือกับสถานการณ์น้ำได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที