งานเฉลิมพระเกียรติ ๗๐ พรรษา

Breaking News

สธ. และพันธมิตร Dengue-zero สู้ไข้เลือดออก ย้ำวัคซีน-กำจัดยุง เป็นวิธีป้องกันที่ได้ผลที่สุด

กระทรวงสาธารณสุขและพันธมิตร Dengue-zero เตือนยอดผู้ป่วยไข้เลือดออกพุ่ง 🦟
ย้ำ ต้องป้องกันแบบองค์รวมเพื่อหยุดไข้เลือดออก

ประเด็นสำคัญ

  • ประเทศไทยยังเผชิญกับสถานการณ์โรคไข้เลือดออกที่น่าเป็นห่วง โดยยอดผู้ป่วยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันจำนวนผู้เสียชีวิตก็มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ใหญ่และผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • ปัจจุบัน ยังไม่มียาต้านไวรัสหรือยารักษาโรคไข้เลือดออกแบบเฉพาะเจาะจง แต่จะเป็นการรักษาตามอาการเพื่อป้องกันการเสียชีวิต
  • เมื่อสงสัยว่าป่วยเป็นไข้เลือดออก ห้ามใช้ยาต้านการอักเสบในกลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน ซึ่งอาจทำให้มีอาการเลือดออกรุนแรง
  • การป้องกันโรคไข้เลือดออกอย่างยั่งยืนสามารถทำได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นการป้องกันส่วนบุคคลที่ดีที่สุด ควบคู่กับการกำจัดแหล่งยุงเกิด เช่นเก็บบ้าน เก็บขยะ เก็บน้ำ ทายากันยุง ซึ่งเป็นการป้องกันทั้งชุมชน

กรุงเทพฯ – 8 สิงหาคม 2568  – กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมด้วยแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กรุงเทพมหานคร สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมนักบริหารโรงพยาบาลประเทศไทย สมาคมโรงพยาบาลเอกชนแห่งประเทศไทย ในนามกลุ่มความร่วมมือ Dengue-zero จัดงานแถลงข่าว “ยอดไข้เลือดออกพุ่ง หยุดข่าวร้ายด้วยการป้องกัน” กระตุ้นให้ประชาชนร่วมป้องกันโรคไข้เลือดออกแบบเชิงรุก เพื่อลดความสูญเสียจากโรคที่ป้องกันได้ เร่งเดินหน้าใช้ 4 มาตรการ รับมือการระบาดในทุกพื้นที่ และย้ำเตือนประชาชนว่าไข้เลือดออกเกิดขึ้นได้ตลอดปีและทุกคนมีความเสี่ยง ไม่จำกัดเพศหรือวัย โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวอาจจะเสี่ยงอาการรุนแรงสูงหากป่วย พร้อมแนะนำการฉีดวัคซีนซึ่งเป็นมาตรการส่วนบุคคลที่ได้ผลดีที่สุดในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรคไข้เลือดออก ที่ทำควบคู่กับมาตราการต่างๆ เกี่ยวกับยุงพาหะเพื่อป้องกันโรคในชุมชน

นพ. สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในนามผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “การป้องกันโรคไข้เลือดออกไม่ใช่แค่การตอบโต้เมื่อเกิดการระบาด แต่คือการลงทุนระยะยาวในสุขภาพของคนไทย และนี่คือจุดยืนของกระทรวงสาธารณสุข ที่ยึดมั่นในพันธกิจของการ “พัฒนาและอภิบาลระบบสุขภาพอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน” ถึงแม้เราจะไม่สามารถป้องกันโรคได้ 100% แต่เราสามารถลดความรุนแรง และปกป้องประชาชนและกลุ่มเสี่ยงจากโรคไข้เลือดออกได้ กระทรวงสาธารณสุขมุ่งมั่นทำงานกับทุกภาคส่วนในการให้คนไทยปลอดภัยจากโรคที่สามารถป้องกันได้อย่างไข้เลือดออก เพื่อการมีสุขภาพที่ดีอย่างถ้วนหน้า”

พญ. วรยา เหลืองอ่อน ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565 – 2571) พบผู้ป่วยปีละ 45,145 – 158,620 ราย1 โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิต 29 – 181 ราย1 และปี 2568 นี้สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 กรกฎาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสมแล้ว 32,244 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 32 ราย2 อีกทั้งตัวเลขการเสียชีวิตจากไข้เลือดออกในปีนี้กลับพุ่งสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆ มา ขอให้ประชาชนอย่าชะล่าใจ เพราะไข้เลือดออกไม่เลือกเวลาระบาด ทุกคนสามารถติดเชื้อไข้เลือดออกได้ตลอดปี ควรตระหนักรู้การป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง ควรพบแพทย์ทันทีหากมีไข้รุนแรงโดยไม่เจ็บคอหรือไอ นอกจากนี้กองโรคติดต่อนำโดยแมลงเพิ่มเกราะป้องกันโรคให้แก่ประชาชน ด้วยการสื่อสารความเสี่ยงของโรคผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสารของการระบาดและจำนวนผู้ป่วยในพื้นที่อย่างทันท่วงที และเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือให้อาสาสมัครสาธารณสุขเฝ้าระวังการระบาดในพื้นที่ของตนเอง พร้อมย้ำเตือนให้ชุมชนตระหนักถึงการป้องกันตนเองและครอบครัวจากโรคไข้เลือดออก”

เพื่อให้ประเทศไทยหยุดข่าวร้ายจากไข้เลือดออกไปด้วยกัน กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกผ่าน 4 มาตรการหลัก ได้แก่ 

  1. เฝ้าระวังเข้มทุกพื้นที่: สำรวจและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ ใช้มาตรการ 3-7 วันเมื่อพบผู้ป่วย พร้อมประสานหน่วยงานท้องถิ่นและสาธารณสุขทันที
  2. ควบคุมยุงร่วมกับชุมชน: ทำกิจกรรม “ถังแตก” ทุกสัปดาห์ ร่วมกับ อปท. อสม. อสส. และจิตอาสา พร้อมพ่นสารเคมีในบ้านผู้ป่วยเพื่อกำจัดยุงพาหะ
  3. ตรวจรักษาเร็ว: กระจายชุดตรวจ NS1 ให้ สถานพยาบาล เพื่อวินิจฉัยไว ช่วยลดอัตราเสียชีวิต
  4. สื่อสารสร้างการมีส่วนร่วม: ทำแคมเปญผ่านสื่อท้องถิ่นให้ความรู้ประชาชน พร้อมประชุมวางแผนควบคุมโรคทันทีเมื่อเกิดการระบาด และเน้นให้สถานพยาบาลหลีกเลี่ยงการใช้ยา ต้านการอักเสบกลุ่ม NSAIDs ในผู้ป่วยต้องสงสัยไข้เลือดออก

นพ.สุนทร สุนทรชาติ รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กทม. มีเป้าหมายสู่การเป็นเมืองสุขภาพดี (Healthy City) ที่ปลอดไข้เลือดออก โดยได้ดำเนินมาตรการเชิงรุก อาทิ ตั้ง War Room 50 เขต ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด, ตรวจสอบและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ทั้งในชุมชน โรงเรียน และศาสนสถาน, จัดกิจกรรม Big Cleaning Day และกำหนดพื้นที่ปลอดลูกน้ำยุงลาย, ให้ อสส. 13,000 คน ลงพื้นที่สร้างความตระหนักรู้กับชุมชน, ส่งเสริมการเรียนรู้ในโรงเรียนผ่านโครงการ Dengue-zero School Project ภายใต้ความร่วมมือ Dengue-zero ซึ่งช่วยลดดัชนีลูกน้ำยุงลายในโรงเรียนได้ตามเป้าหมาย เพราะโรคไข้เลือดออกสามารถระบาดได้ตลอดทั้งปี

การควบคุม การป้องกัน และการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องตระหนักและปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง กทม. พร้อมดูแลประชาชน โดยมีศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง คลินิกอบอุ่น 200 แห่ง และโรงพยาบาลในสังกัด 11 แห่ง มีชุดตรวจ NS1 ประจำอยู่ในทุกหน่วยบริการสุขภาพของ กทม. เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคได้รวดเร็ว พร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นฟันเฟืองในการช่วยหยุดข่าวร้ายจากโรคไข้เลือดออกให้ได้อย่างยั่งยืน”

ศ.เกียรติคุณ นพ. อมร ลีลารัศมี ประธานพันธมิตร Dengue-zero กล่าวว่า “การดำเนินงานของกลุ่มพันธมิตร Dengue-zero ได้เริ่มเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว ผ่านความร่วมมือเชิงรุกจากพันธมิตร 11 องค์กรที่มุ่งมั่นผลักดันให้ทุกภาคส่วนผนึกกำลังป้องกันและควบคุมการระบาดของไข้เลือดออก ถึงแม้วันนี้ ไข้เลือดออกยังคงเป็นข่าวร้ายของครอบครัวกว่าแสนราย แต่เราเชื่อว่าจะหยุดข่าวร้ายจากไข้เลือดออกได้ ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นการผนึกกำลังของทุกภาคส่วนอย่างเข้มแข็งจึงจะสามารถขับเคลื่อนการป้องกันไข้เลือดออกได้อย่างยั่งยืน

ปัจจุบัน สิ่งที่น่ากังวลคือผู้เสียชีวิตจากไข้เลือดออก 80% อยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต ซึ่งมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและอาการรุนแรงสูง และนำมาซึ่งการเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่ได้ส่งผลเฉพาะกับผู้ที่ติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบให้กับคนใกล้ชิดหรือผู้ที่ดูแลผู้ป่วย ที่เรียกว่า ‘ไข้เลือดออกมือสอง’ คือการที่ต้องทรมานจากการเห็นหรือต้องดูแลคนใกล้ชิดต้องเผชิญภาวะวิกฤต การป้องกันจึงเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ทายากันยุง ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันและเลือกเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน ควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ที่สำคัญเมื่อมีไข้แล้วอย่าซื้อยารับประทานเอง ควรไปพบแพทย์ และรับคำปรึกษาเรื่องการดูแลรักษา และป้องกันเมื่อหายป่วยให้คนในครอบครัว”

ศ. พญ. กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ช่วยป้องกันโรคและลดความเสี่ยงจากโรครุนแรงที่อาจทำให้เสียชีวิต การฉีดวัคซีนจึงเป็นทางเลือกด้านสุขภาพที่คุ้มค่า ลดอัตราการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว เด็กในช่วงวัยเรียนเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรค หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาช้า อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ภาวะช็อก และเสียชีวิตได้โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว แต่แม้ผู้ที่แข็งแรงดีมาก่อนก็สามารถป่วยแบบรุนแรงได้

ปัจจุบันโรคไข้เลือดออกยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะ มีเพียงการเฝ้าติดตามรักษาตามอาการ การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ฉีดวัคซีนควบคู่กับมาตรการอื่นๆ วัคซีนที่มีใช้ในปัจจุบัน ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 ปีขึ้นไปทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน ไม่ต้องตรวจเลือดก่อนฉีด ช่วยป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ลดความรุนแรงของโรคและอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 80-90%3 วัคซีนมีความปลอดภัย โดยมีการขึ้นทะเบียนกว่า 40 ประเทศ และใช้แล้วทั่วโลกกว่า 15 ล้านโดส การฉีดวัคซีนร่วมกับมาตรการจัดการกับยุงและสิ่งแวดล้อมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันโรค ควรปรึกษาแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อวางแผนป้องกันอย่างเหมาะสมทั้งครอบครัว และควรจัดการให้มีการเข้าถึงวัคซีนให้มากขึ้นจากทั้งภาครัฐและเอกชน”