งานเฉลิมพระเกียรติ ๗๐ พรรษา

Breaking News

บพท. หนุน “แพะกรุงศรี Heart of Halal” จาก Halal สู่อาหารของทุกคน (Halal for All)

“แพะกรุงศรี Heart of Halal” จาก Halal สู่อาหารของทุกคน (Halal for All)
หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)

     “อาชีพเลี้ยงแพะ” คือ หนึ่งในอาชีพดั้งเดิมของเกษตรกรในชุมชนมุสลิมหลายพื้นที่ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากเลี้ยงง่ายและมีความต้องการจากพี่น้องมุสลิมสูงทั้งใน และนอกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ แต่ในช่วงปี 2564 เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซา ความต้องการบริโภคเนื้อแพะลดลง สวนทางกับปริมาณเนื้อแพะที่เพิ่มขึ้นจากการลักลอบนำเข้าแพะจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดภาวะแพะล้นตลาด คนเลี้ยงแพะถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง เกิดความเสี่ยงที่อาจทำให้อาชีพเลี้ยงแพะลดน้อยลงหรือสูญหายไปจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

     ทางออกหนึ่งของการแก้ปัญหาดังกล่าวคือ การเพิ่มความต้องการบริโภคเนื้อแพะในพื้นที่ให้มากขึ้น  ด้วยการเปลี่ยนกลุ่มผู้บริโภคเนื้อแพะจากอาหารสำหรับคนมุสลิม มาเป็นอาหารที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถรับประทานได้ เช่นเดียวกับเนื้อวัว ด้วยจุดเด่นที่สำคัญคือ “มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ”  

     มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (มทร.สุวรณภูมิ) จึงได้ดำเนินโครงการวิจัย “การพัฒนาผู้ประกอบการเกี่ยวกับแพะสู่ธุรกิจฮาลาล ด้วยกลไกขับเคลื่อนห่วงโซ่คุณค่าใหม่ เพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา” ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ภายใต้จากกรอบวิจัย LE  (การพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการในพื้นที่ (Local Enterprises) บนฐานทรัพยากรพื้นถิ่นเพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือ การยกระดับคุณภาพของเนื้อแพะให้ได้มาตรฐาน และด้วยคุณภาพและผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคทั่วไป

     ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กนกพร ภาคีฉาย อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ มทร.สุวรรณภูมิ ในฐานะหัวหน้าโครงการ กล่าวว่า คำถามของผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ยังไม่เคยบริโภคเนื้อแพะก็คือ ความไม่มั่นใจเรื่องมาตรฐานการเลี้ยงแพะ และกลิ่นสาบของเนื้อแพะ

     ดังนั้นการทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะจำนวน 300 ราย จาก 7 อำเภอ คือ อำเภอวังน้อย อำเภอเสนา อำเภอผักไห่ อำเภออุทัย อำเภอภาชี อำเภอบางปะอิน และอำเภอพระนครศรีอยุธยา ที่เข้าร่วมโครงการในระยะที่ 1 (พ.ศ.2564-2565) มีความรู้และทักษะในการเลี้ยงแพะที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อนำไปสู่การผลิตเนื้อแพะที่มีมาตรฐาน สามารถแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นสาบได้ 

     ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สนธยา มูลศรีแก้ว นักวิจัย มทร.สุวรรณภูมิ ผู้รับผิดชอบเรื่องการจัดการฟาร์มแพะ ให้ข้อมูลว่า ข้อมูลจากวิจัยพบว่าเนื้อแพะโตเต็มวัยที่อายุเกิน 1 ปีจะเริ่มมีกลิ่นสาบชัดเจน หากเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะสามารถเลี้ยงแพะให้มีน้ำหนัก 20 กิโลกรัมต่อตัว และขายออกไปในเวลาสั้นกว่า 1 ปีก็จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นสาบได้  

     สำหรับกระบวนการเลี้ยงแพะให้ได้มาตรฐานและลดกลิ่นสาบคือ 1. การเลี้ยงแพะพันธุ์ผสมซึ่งโตเร็วกว่าแพะพันธุ์พื้นเมือง 2. อาหารที่ให้คุณค่าทางพลังงาน โปรตีน และแร่ธาตุ ตรงกับความต้องการของแพะ เน้นการใช้วัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น การเปลี่ยนจากข้าวโพดมาเป็นข้าวเปลือก  การนำใบและกิ่งของต้นกระถินมาเป็นแหล่งโปรตีนทดแทนถั่วเหลืองที่ต้องซื้อจากภายนอก  3. การถ่ายทอดเทคนิคการจัดการฟาร์มแพะที่ถูกต้องให้กับเกษตรกร ซึ่งทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ นอกจากจะทำให้ได้เนื้อแพะที่ไม่มีกลิ่นสาบหรือมีกลิ่นสาบน้อยลงแล้ว ยังเป็นการเตรียมพร้อมให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะในการยกระดับสู่การเป็นฟาร์มเลี้ยงแพะที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม หรือ GFM (Good Farming Management : GFM)  ที่จะเป็นโอกาสในการก้าวสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดต่อไป

     นอกจากนั้น ภายใต้โครงการระยะที่ 1  ยังมีการวิเคราะห์คุณลักษณะของเนื้อแพะในแต่ละส่วน และร่วมกับผู้ประกอบการร้านอาหารในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาพัฒนาเมนูอาหารใหม่ ๆ ที่มีเนื้อแพะเป็นวัตถุดิบ เช่น แพะเตี๋ยวเรือ บาร์บิคิวแพะ ไปจนถึงเมนูสากล อาทิ พาสต้าแพะ สเต็กแพะ เป็นต้น ภายใต้คอนเซ็ปต์“แพะกรุงศรี อร่อยดี มีประโยชน์” โดยได้รับการสนับสนุนการออกร้านในงานสำคัญ ๆ ของจังหวัดมาแล้วหลายครั้ง 

     ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กนกพร ภาคีฉาย กล่าวว่า กิจกรรมนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีทัศนคติที่ดี ต่อการบริโภคเนื้อแพะมากยิ่งขึ้น

     “ผลจากการดำเนินโครงการระยะที่ 1  ทำให้คนต้นน้ำและผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแพะของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเห็นเป้าหมายร่วมของการสร้างตลาดใหม่ของเนื้อแพะ และเห็นความสำคัญของการสร้างระบบการจัดการฟาร์มที่ดีตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำภายใต้แนวคิด Farm to Table ร่วมกัน ดังนั้นในโครงการระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2567) จึงต้องการสร้างรูปธรรมของการส่งต่อเนื้อแพะจากเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะให้ถึงมือผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ๆ โดยเฉพาะคนในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนักท่องเที่ยว ได้มีโอกาสรับประทานเนื้อแพะคุณภาพภายใต้คอนเซ็ปต์ “แพะคุณภาพดี มีมาตรฐาน บนฐานวัฒนธรรม หรือ HEART of Halal for All” พร้อมกระตุ้นด้วยคำโปรยที่ว่า “แพะกรุงศรี ต้องลอง ถึงรู้ว่าอร่อย”

     ความสำเร็จสำคัญของโครงการวิจัยระยะที่ 2 คือ การผลักดันให้เกิด “เขียงแพะ” ซึ่งเป็นข้อต่อสำคัญของห่วงโซ่คุณค่าใหม่ (New Value Chain)  ที่สามารถเชื่อมร้อยเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะกับตลาดผู้บริโภค ผ่านกระบวนการ “ชำแหละแพะ” ออกมาส่วน ๆ เช่น ส่วนน่อง ส่วนสันใน ฯลฯ  แทนการขายเป็นตัวให้กับพ่อค้าคนกลางแบบเดิม  ถือเป็น “คานงัด” สำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมการผลิตและจำหน่ายเนื้อแพะของจังหวัด

     ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กนกพร ภาคีฉาย กล่าวว่า โครงการแพะกรุงศรีสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งระดับต้นน้ำและกลางน้ำ  ตั้งแต่การสร้างมาตรฐานของการเลี้ยงแพะให้ได้เนื้อแพะที่แก้ปัญหาเรื่องกลิ่นสาบได้เป็นผลสำเร็จ มีฟาร์มแพะที่ผ่านมาตรฐานฟาร์มปลอดโรค GFM  จำนวน 3 ฟาร์ม รวมไปถึงการที่สร้าง “เขียงแพะ” ที่เปลี่ยนรูปแบบการซื้อขายแพะเป็นตัวสู่การขายเป็นส่วน ๆ รวมถึงการจัดการปลายน้ำ ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์จากเนื้อแพะภายใต้ชื่อ “แพะกรุงศรี” ทั้งหมดนี้สามารถทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่ เกิดการบริโภคเนื้อแพะเพิ่มขึ้น 213.12 ตันต่อปี  เกิดการใช้ทรัพยากรทางการเกษตรเพิ่มขึ้น 233.6 ตันต่อปี  เกิดการจ้างงานใหม่ 156 ตำแหน่ง และเกิดการกระจายรายได้ในพื้นที่ปีละ 99.512 ล้านบาท ขณะที่เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะที่เข้าร่วมโครงการ มีรายได้เฉลี่ยจากการเลี้ยงแพะเพิ่มขึ้นจากเดือนละ 6,700 บาท เป็นเดือนละ 87,230.13 บาท

     โครงการแพะกรุงศรี คือตัวอย่างที่ดีของการนำแนวคิด  “คน-ของ-ตลาด” มาใช้ในการวิเคราะห์ความต้องการของตลาด ก่อนจะมองย้อนกลับไปต้นน้ำ เพื่อหา Pain Point ที่แท้จริงของปัญหา ก่อนพัฒนาเป็นโจทย์วิจัยและกระบวนการทำงานที่ดำเนินการร่วมกับผู้ประกอบการในพื้นที่อย่างใกล้ชิด จนเกิดเป็นผลลัพธ์ที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรม