กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชนบุกทำเนียบฯ ร้องนายกฯ ทบทวนมติ ครม. ชี้เลือกปฏิบัติ สองมาตรฐาน
บุกทำเนียบ!...กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชน รวมตัวยื่นแถลงการณ์ถึงนายกรัฐมนตรี คัดค้านมติ ครม. 3 มีนาคม 2568 ชี้ไม่เป็นธรรม เลือกปฏิบัติสอง มาตรฐาน
เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชนกว่า 200 คน รวมตัวที่ทำเนียบรัฐบาล ยื่นแถลงการณ์ถึงนายกรัฐมนตรี คัดค้านมติ ครม. 3 มีนาคม 2568 กรณีโครงการนมโรงเรียน ชี้เป็นการเลือกปฏิบัติ ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรภาคเอกชน
(กรุงเทพฯ – 21 มีนาคม 2568) กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชน นำโดย นายวสันต์ จีนหลง นายกสมาคมผู้ผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ และ นายชนะศักดิ์ จุมพลอนันต์ นายกสมาคมกลุ่มเกษตรกรผู้รวบรวมน้ำนมดิบ พร้อมด้วยตัวแทนจาก สมาคม SME ผู้รวบรวมน้ำนมดิบและแปรรูป รวมกว่า 200 คน ได้เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นแถลงการณ์ถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 ที่มีการปรับโครงสร้างระบบบริหารโครงการนมโรงเรียน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชน
คัดค้านมติ ครม. ปรับโครงการนมโรงเรียน สร้างความเหลื่อมล้ำ
มติ ครม. ดังกล่าว ได้ เพิ่มจำนวนเขตพื้นที่โครงการนมโรงเรียนจาก 5 เขตเป็น 7 เขต และปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์หลักของโครงการ โดยให้ความสำคัญกับสหกรณ์โคนม รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการศึกษา ในการเป็นผู้จัดหาน้ำนมดิบเข้าสู่โครงการ ซึ่งส่งผลให้ เกษตรกรภาคเอกชนถูกจำกัดโอกาสในการเข้าร่วมโครงการ แม้ว่าจะเป็นผู้ผลิตน้ำนมดิบกว่า 49% ของทั้งประเทศก็ตาม
นายวสันต์ จีนหลง กล่าวถึงความไม่เป็นธรรมว่า "กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชนดำเนินธุรกิจโดยสุจริต ไม่เคยขอเงินอุดหนุนจากรัฐ ไม่เคยเลี่ยงภาษี แต่กลับถูกเลือกปฏิบัติ" พร้อมย้ำว่า มติ ครม. นี้จะส่งผลให้ ภาคเอกชนที่ซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร 54 แห่ง รวมปริมาณกว่า 928 ตัน/วัน ต้องประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ เนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มลดการซื้อน้ำนมดิบจากภาคเอกชน
ขอให้รัฐบาลทบทวนมติ ครม. และเปิดประชาพิจารณ์
กลุ่มเกษตรกรเรียกร้องให้รัฐบาล ยกเลิกมติ ครม. หรือปรับปรุงแนวทางให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย พร้อมเสนอให้ ใช้หลักเกณฑ์การดำเนินงานโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียนปี 2566 เพื่อให้เด็กนักเรียนยังคงได้รับนมคุณภาพ เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพได้ต่อไป และภาคเอกชนสามารถเข้าถึงงบประมาณรัฐอย่างเป็นธรรม
"เราไม่อยากเป็นเกษตรกรชนชั้นสองของประเทศไทย เราภูมิใจกับอาชีพพระราชทานและให้ความร่วมมือกับภาครัฐมาโดยตลอด เราต้องการให้รัฐบาลรับฟังและให้โอกาสเรามีที่ยืนในอุตสาหกรรมโคนมของประเทศ" นายวสันต์ กล่าว
รัฐรับข้อเรียกร้อง แต่นายกฯ ติดภารกิจ
เนื่องจากนายกรัฐมนตรีติดภารกิจในวันนี้ จึงมอบหมายให้ นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรับเรื่องแทน ขณะเดียวกัน กลุ่มเกษตรกรยังได้เดินทางต่อไปยัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อยื่นหนังสือต่อ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ แต่เนื่องจากติดภารกิจ นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ จึงเป็นผู้รับเรื่องแทน
เกษตรกรยังได้เรียกร้องให้กระทรวงเกษตรฯ เปิดเผยผลกระทบของมติ ครม. ต่อเกษตรกร 7,000 ครัวเรือน และให้จัดประชาพิจารณ์โครงการนมโรงเรียนปี 2568 อย่างโปร่งใส โดยนำผลการประชาพิจารณ์มาประกอบการตัดสินใจ
เกษตรกรหวั่นเกิดวิกฤตโคนม เรียกร้องความเป็นธรรม
นายวสันต์ ทิ้งท้ายว่า "ภาครัฐควรให้ความเสมอภาคกับเกษตรกรทุกกลุ่ม เพราะนมโรงเรียนคือโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อเด็กไทยทุกคน เกษตรกรไม่ควรถูกแบ่งแยกเป็นสองมาตรฐาน" พร้อมเน้นย้ำว่าการเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องครั้งนี้ อาจนำไปสู่วิกฤตในอุตสาหกรรมโคนมของไทยในอนาคต
สรุปข้อเรียกร้องของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชน
1. ขอให้รัฐบาลทบทวนหรือยกเลิกมติ ครม. 3 มีนาคม 2568 ที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชน
2. ขอให้ใช้หลักเกณฑ์โครงการอาหารเสริมนมโรงเรียนปี 2566 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและมั่นใจว่าเด็กนักเรียนจะได้รับนมคุณภาพ
3. เรียกร้องให้กระทรวงเกษตรฯ จัดประชาพิจารณ์โครงการนมโรงเรียนปี 2568 และเปิดเผยผลการประชาพิจารณ์ต่อสาธารณชน
4. ขอให้ภาครัฐมีแนวทางสนับสนุนเกษตรกรภาคเอกชนอย่างเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติหรือสนับสนุนเฉพาะภาคสหกรณ์และรัฐวิสาหกิจ
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นสัญญาณว่า ภาครัฐจำเป็นต้องทบทวนมติและรับฟังเสียงของเกษตรกรทุกภาคส่วน เพื่อให้โครงการนมโรงเรียนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง นั่นคือ ให้เด็กไทยทุกคนได้ดื่มนมคุณภาพ ขณะที่เกษตรกรไทยทุกกลุ่มสามารถดำรงอาชีพได้อย่างมั่นคง