เสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน: จัดตั้งกลไกประสานงานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ภาคเอกชนไทย-จีน ร่วมจัดตั้งกลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน
ในเดือนตุลาคม 2567 ภาคเอกชนไทยและจีนได้ร่วมกันจัดตั้ง "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน และสมาคมการค้าวิสาหกิจจีน การจัดตั้งกลไกนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในด้านการค้า การลงทุน และความร่วมมือในหลายมิติระหว่างสองประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย
ความสำคัญของความร่วมมือไทย-จีนในยุคเศรษฐกิจใหม่
การจัดตั้งกลไกนี้สะท้อนถึงการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีน โดยมุ่งหวังให้ภาคเอกชนจากทั้งสองประเทศสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจระดับโลกได้อย่างมั่นคง กลไกดังกล่าวจะเน้นเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในด้านต่าง ๆ อาทิ การค้า การลงทุน การแก้ไขอุปสรรคทางเศรษฐกิจ และการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีสารสนเทศ
กลยุทธ์สำคัญ 9 ประการในการขับเคลื่อนธุรกิจไทย-จีน
1. ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเศรษฐกิจและการค้าที่น่าเชื่อถือ
2. การประชุมระหว่างตัวแทนจากไทยและจีนอย่างสม่ำเสมอ
3. ส่งเสริมกิจกรรมแลกเปลี่ยนทางธุรกิจระหว่างประเทศ
4. ร่วมมือในด้านการฝึกอบรมและการศึกษาเชิงลึก
5. จัดงาน Supplies Matching และงานแสดงสินค้าสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ
6. ส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมใหม่
7. ให้บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกิจ
8. เสริมสร้างความร่วมมือด้านสื่อมวลชนเพื่อเผยแพร่ผลสำเร็จ
9. สนับสนุนให้ธุรกิจปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับระหว่างประเทศ
การร่วมมือระหว่างภาคเอกชนไทยและจีนนี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจ ทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และการขยายความร่วมมือไปยังภาคอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
หอการค้าไทย-จีนกับความสำคัญในเศรษฐกิจร่วมสมัย
หอการค้าไทยและจีนไม่เพียงแต่มีบทบาทในด้านเศรษฐกิจ แต่ยังมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมด้วย การมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 365 บริษัท รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่จากจีน ช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ
การจัดตั้งกลไกนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลอง 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืน