ADS


Breaking News

นายกสภาทนายความแนะข้อกฎหมาย: การประกอบธุรกิจขายตรงและแชร์ลูกโซ่ เตือนภัยเกี่ยวกับการฉ้อโกง

นายกสภาทนายความแนะข้อกฎหมาย การประกอบธุรกิจขายตรง การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกง (แชร์ลูกโซ่) 
หรือการฉ้อโกงประชาชน

     ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ แนะนำข้อกฎหมายที่ประชาชนควรทราบเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจขายตรง การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกง หรือแชร์ลูกโซ่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและสังคมไทยอย่างมากในปัจจุบัน โดยมีความจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวง

กฎหมายที่ควรรู้เกี่ยวกับธุรกิจขายตรง

     ตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 กำหนดมาตรการเพื่อควบคุมการประกอบธุรกิจขายตรงและการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเครือข่ายโดยมีการตกลงที่จะให้ผลตอบแทนตามจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่าย ซึ่งถือเป็นการกระทำที่หลอกลวงประชาชน การฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 500,000 บาท (มาตรา 19) นอกจากนี้ยังห้ามไม่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในอัตราที่เกินกว่าที่กำหนด ฝ่าฝืนจะต้องโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท (มาตรา 22)
     ส่วนกรณีมีบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวเช่นการไปร่วมโฆษณาประชาสัมพันธ์ ให้คนสนใจสมัครเป็นเครือข่ายอาจมีความผิดในฐานะเป็นผู้สนับสนุน หรือ หากมีการไปร่วมทุนกับผู้ประกอบธุรกิจขายตรงอาจถือว่าเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดก็ได้

ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน

     การกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงประชาชนให้เข้าร่วมลงทุนหรือให้กู้ยืมเงินในลักษณะของแชร์ลูกโซ่ นอกจากจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติขายตรงแล้ว ยังอาจเข้าข่ายความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ซึ่งกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 1,000,000 บาท และหากยังฝ่าฝืนจะมีการปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท

บทสรุป

     การป้องกันการฉ้อโกงผ่านธุรกิจขายตรงหรือแชร์ลูกโซ่เป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนควรตระหนัก และหากพบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายการหลอกลวงควรรีบแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อป้องกันการสูญเสียทางการเงินและผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง