วช. เผย นักวิจัยการแพทย์ ชี้! การทำให้คนไทยมีสุขภาพดีถ้วนทั่วจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต
วช. ผนึกเครือข่ายการแพทย์ จัดเสวนา “การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยงานวิจัยและเทคโนโลยี : มิติสุขภาพและสาธารณสุข” มุ่งยกระดับสาธารณสุขไทย
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม |
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม |
ศาสตราจารย์ ดร.ศันสนีย์ ไชยโรจน์ ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานกลุ่มสุขภาพและการแพทย์ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ(บพข.) |
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) |
ดร.นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ เลขาธิการมูลนิธิและนักวิจัยอาวุโส โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) |
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม |
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ จัดงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 : Thailand Research Expo 2023” ภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนงานวิจัย สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างไทยยั่งยืน” ระหว่างวันที่ 7 - 11 สิงหาคม 2566 ณ ห้องประชุมชั้น 22-23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
วันที่สามของงาน 9 สิงหาคม 2566 เปิดเวทีเสวนาด้วยหัวข้อ “การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยงานวิจัยและเทคโนโลยี : มิติสุขภาพและสาธารณสุข” โดยได้รับเกียรติจากผู้นำระดับสูงที่เชี่ยวชาญขับเคลื่อนงานวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประกอบด้วย ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศาสตราจารย์ ดร.ศันสนีย์ ไชยโรจน์ ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานกลุ่มสุขภาพและการแพทย์ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ(บพข.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ดร.นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ เลขาธิการมูลนิธิและนักวิจัยอาวุโส โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ดำเนินรายการโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า การสร้างขีดความสามารถด้านสุขภาพหรือการแพทย์ มีการมองระยะยาวโดยใช้ข้อมูลเป็นตัวตั้ง ในการเข้าถึงระบบสุขภาพของประชาชนมากกว่าร้อยละ 85 แต่ประเทศไทยยังพึ่งพาเทคโนโลยีหรือยาของต่างประเทศ หรือการเข้าถึงยาอื่น ๆ ยังเข้าถึงได้ยาก ยังไม่มีความเท่าเทียม ระบบข้าราชการ ระบบประกันสังคม หรือบุคคลที่มีฐานะในการจ่ายได้ ระบบจึงจำเป็นต้องมีการสร้างความแตกต่าง การเพิ่มสิทธิ์ประโยชน์ควรเริ่มคิดถึงการแบ่งจ่าย service จึงขอฝาก สวรส. งานวิจัยที่สร้าง coordination และ collaboration เพื่อลดการกระจุกและเกิดการกระจาย หรือในส่วนของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) ควรมีการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยเช่นกัน การจำแนก Hospital care เพื่อคนที่ต้องการ โดยตรงหรือควรใช้ Clinic care แทน โดยงบประมาณที่สูงในการทำวิจัยด้านการแพทย์ที่ สวรส. ได้รับงบประมาณ มีประโยชน์ในการแยกแยะความจำเป็นของความคุ้มค่าของการใช้ยา และการต่อยอดเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในส่วนของเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ในระดับพื้นฐานควรได้รับการพัฒนา ความสามารถในการพัฒนาทางคลินิก ระบบที่คำนึงถึงความปลอดภัย การขึ้นมาตรฐาน อย. ทั้งห้องปฏิบัติการ สถานที่ผลิตที่ได้รับ GMP หรือแม้แต่ศูนย์การทดลอง ควรมีตามความเหมาะสมไม่เกินความจำเป็นและได้รับมาตรฐานโดยหน่วยงานที่บริหารจัดการทุน เช่น ทีเซลส์(TCELS) สวรส. และ บพข. ร่วมมือกันดำเนินการส่วนกลางจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการผนวกความร่วมมือ นำไปสู่การเชื่อมโยงทางนโยบาย ด้วยความสามารถของนักวิจัย ความรู้ที่หลากหลาย โดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ จะสามารถเติมเต็มการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศาสตราจารย์ ดร.ศันสนีย์ ไชยโรจน์ ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานกลุ่มสุขภาพและการแพทย์ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ(บพข.) กล่าวว่า บพข. เป็นหน่วยงานให้ทุนวิจัยและนวัตกรรมในส่วนของภาคการผลิตที่เป็นภาครัฐ รวมถึงภาคเอกชนได้โดยตรง โดยทุนที่จัดสรรจะให้เพื่อใช้ผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ เชื่อมโยง Value Chain ที่ก่อให้เกิดอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าสูง สนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่มีการจดลิขสิทธิ์ ไปจนถึงการทำตลาด การทำ Digital Platform โดย บพข. มีกลไกการขับเคลื่อนด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่ในประเทศให้มีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับ รวมถึงการร่วมมือพัฒนาวิจัยและนวัตกรรมร่วมกับเครือข่ายทั่วโลก สิ่งที่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การวิจัยและไม่ค่อยประสบผลสำเร็จคือการจัดทำ Clinical Trial ทาง บพข. จึงได้จัดทำ Clinical Research Organization แห่งแรกของประเทศไทย ที่จะช่วยดูแลเรื่องเอกสารต่างๆ ไปจนถึงการเป็นที่ปรึกษาในการขึ้นทะเบียนกับทาง อย. และมีการให้คำปรึกษาเรื่อง Feasibility Study เพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมให้มีมาตรฐานในระดับสากล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า บทบาทของ สวรส. คือ การสนับสนุนการวิจัยเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา หรือแม้กระทั่งการแก้ปัญหาในระบบสาธารณสุข ซึ่งจะเป็นปัญหาในด้านระบบการจัดการ หรือ ด้านการจัดการโรค แผนงานที่ สวรส. รับผิดชอบ คือการพัฒนาระบบเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว ในด้านการแพทย์และสุขภาพให้เป็นระบบ มีความยั่งยืนและเพิ่มรายได้ของประเทศ และการยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศให้พร้อมรับโรคระบาดและโรคอุบัติใหม่ซึ่งเมื่อเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์และแผนงานจึงได้เป็นแผนงานย่อย ในการสร้างขีดความสามารถและยกระดับจีโนมิกส์ การแพทย์แม่นยำ การพัฒนาระบบบริการสุขภาพฯ การพัฒนาความเป็นธรรมระบบสุขภาพ และการพัฒนาระบบสุขภาพตอบโต้ภาวะฉุกเฉินและภัยสุขภาพ ในส่วนการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยการกระจายอำนาจด้วยการวิจัยหน่วยบริการปฐมภูมิ สวรส. ได้ถ่ายโอนไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) โดยการยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพโดยการเตรียมพร้อมรับภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศในอนาคต
ดร.นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ เลขาธิการมูลนิธิและนักวิจัยอาวุโส โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) กล่าวว่า การประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ โดยปัจจุบันนั้นจำเป็นจะต้องประเมินให้รอบด้านทั้งทางด้านของความคุ้มค่าของเทคโนโลยี ศีลธรรมและผลกระทบด้านสังคม และประเมินเกี่ยวกับความเป็นไปได้ โดยจะดำเนินการเป็นศูนย์กลาง(Hub) เช่นการประเมินยาเพื่อขึ้นบัญชียาหลักแห่งชาติ เพราะยาส่วนใหญ่ที่ใช้นั้นไม่ได้อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้ความสามารถในการเข้าถึง หรือกำลังที่สามารถจ่ายให้คนไข้ได้นั้นจะมีความยากลำบากมากขึ้น ในอนาคตนั้นมีการคาดการณ์ว่า ราคายาทั่วไปหรือยาที่จะผลิตขึ้นจะมีราคาที่สูงขึ้นเป็นเท่าตัวเนื่องจากความสามารถของยามีการวิจัยที่สามารถใช้งานได้เร็วขึ้น ดีขึ้น ง่ายต่อการขึ้นทะเบียนยา แต่ไม่ได้ขึ้นบัญชีเป็นยาหลักแห่งชาติ หากจะขึ้นบัญชียาหลักแห่งชาตินั้น จะต้องมีความคุ้มค่า ตอบโจทย์ต่อเหตุการณ์ในประเทศ ส่วนยาทั่วไปที่อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ได้มากนัก สมควรสนับสนุนพัฒนาเพื่อที่จะเป็นยารองรับและการันตีในลักษณะยาอื่น ๆ ได้ การมองไปข้างหน้าในอีก 5-10 ปีนั้นหน่วยงานเล็งเห็นถึง “ความสวยงามของความแตกต่าง” คือ ความสามารถที่ทุกหน่วยงานทุกประเทศมีมาแข่งขันกัน เพื่อที่จะเรียนรู้กัน โดยจะต้องให้เปิดความสนใจในวงกว้างสามารถทำนวัตกรรมที่ใหม่และพัฒนาขึ้นได้ โดยมีการพัฒนานวัตกรรมที่ยั่งยืน
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนพัฒนาการวิจัยและนวัตกรรมใน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566” ขับเคลื่อนงานวิจัย สู่เศรษฐกิจยุคใหม่สร้างไทยยั่งยืน