อธิบดี สบส.เผย! สถิติผู้ออกกำลังกายช่วงโควิด19
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เปิดผลสำรวจการออกกำลังกายช่วงโควิด 19 ซึ่งวิถีใหม่ ที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เข้ากับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 พบว่า ประชาชนมีทัศนคติไม่ถูกต้องสูงสุดเกี่ยวกับการออกกำลังกาย คือ เรื่องไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายเมื่อเหนื่อยจากการ ทำงานแล้ว และมีความคิดเห็นว่า การออกกำลังกายหรือไม่ออกกำลังกาย ก็ส่งผลต่อสุขภาพไม่ต่างกัน
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การทำงาน การเรียน การรักษาสุขภาพ ประชาชนจำเป็นต้องกักตัวอยู่บ้าน ดังนั้น การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ จึงเป็น สิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ที่ยังต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด 19 วิถีชีวิตของประชาชนเมื่อต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน ทำให้มีการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมทางกายน้อยลง แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะมีความรู้ความเข้าใจว่าการออกกำลังกายจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง สร้างภูมิต้านทานโรคได้
นพ.ธเรศ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ได้ดำเนินการเฝ้าระวังพฤติกรรมสุขภาพ โดยการสำรวจความคิดเห็นผ่านระบบออนไลน์ ในกลุ่มวัยทำงานอายุระหว่าง 15 - 59 ปี เรื่อง พฤติกรรม การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ดำเนินการครอบคลุมพื้นที่ 13 เขตสุขภาพ และเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุข 76 จังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2564 ผลการสำรวจ พบว่า ประชาชนวัยทำงานส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องต่อการออกกำลังกายสูงสุด คือเรื่อง ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายเมื่อเหนื่อยจากการทำงานแล้ว ตอบว่าเห็นด้วยเฉลี่ย 29.3 % รองลงมาคือ การออกกำลังกายหรือไม่ออกกำลังกายก็ส่งผลต่อสุขภาพไม่ต่างกัน ตอบว่าเห็นด้วย 24.9 % ในด้านความรู้ความเข้าใจพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจ ในระดับดีมาก มีเพียง 11.6 % เท่านั้น เรื่องที่มีความรู้ความเข้าใจ ไม่ถูกต้องสูงสุด คือ เรื่องเวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกายอยู่ระหว่าง 20 - 60 นาที ต่อครั้ง ตอบว่าไม่ใช่ เฉลี่ย 11.6 % รองลงมาคือเรื่อง การออกกำลังกายช่วยลดโอกาสป่วย ด้วยโรคไม่เรื้อรัง ตอบว่าไม่ใช่ 8.1 %
นพ.ธเรศ กล่าวต่อไปว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 นอกจากการป้องกันตนเอง โดยสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า การล้างมือให้สะอาด หรือการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่าง ทางสังคม (Social Distancing) และฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ทุกคนจำเป็นต้องดูแลสุขภาพเชิงรุก เพราะมีความจำเป็นในสภาวะนี้ โดยการทำให้ร่างกายของตนเองแข็งแรง และมีภูมิต้านทานที่ดีอยู่เสมอ ด้วยการออกกำลังกาย เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ การออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่น และความแข็งแรงของร่างกาย เพิ่มศักยภาพในการทำงาน ลดความเครียด นอกจากนี้การออกกำลังกายจะลดโอกาสการป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เป็นต้น
ด้านนางสาวมะลิ ไพฑูรย์เนรมิต ผู้อำนวยการกองสุขศึกษา กล่าวว่า การออกกำลังกายจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง วัยทำงานควรเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสม ตามบริบทของผู้ออกกำลังกาย เช่น อุปกรณ์ สถานที่ เมื่อต้องกักตัวอยู่บ้าน หากไม่มีอุปกรณ์หรือพื้นที่ อาจเลือกชนิดการออกกำลังกาย ที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มาก เช่น การเล่นฮูลาฮูป โยคะ เต้นแอโรบิก เดินเร็ว หรือวิ่งเหยาะรอบบริเวณบ้าน โดยใช้เวลาออกกำลังกายให้ได้ 3 - 5 วันต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องนานครั้งละ 20 - 60 นาที จะช่วยเพิ่มความแข็งแรง ของระบบหัวใจ ปอด และกล้ามเนื้อ หรือการมีกิจกรรมทางกาย เช่น ทำงานบ้าน การแกว่งแขน หรือการเดิน ก็ถือว่ามีผลดีต่อสุขภาพ เพราะช่วยลดโรค และถ้าทำต่อเนื่องยังสามารถช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ในร่างกายได้อีกด้วย นอกจากนี้ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ มีประโยชน์ ถูกหลักโภชนาการ กินผักผลไม้ให้มาก ลดอาหารหวาน มัน เค็ม วัยทำงานการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอมีความสำคัญมาก ร่างกายจะเกิดการซ่อมแซมตัวเอง ควรนอนหลับให้ได้วันละ 7 – 9 ชั่วโมง
ทั้งนี้ประชาชนสามารถติดต่อผ่านช่องทางการติดต่อของกองสุขศึกษา ผ่านช่องทาง Facebook และเว็บไซต์กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ htpp://www.hed.go.th
///////////////////
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เป็นส่วนใหญ่ร้อยละ 38.5 และข้อมูลในการเฝ้าระวังฯ มีการกระจายทั้ง 13 เขตสุขภาพ โดยเขตสุขภาพที่ 11 มีความชุกของข้อมูลมากที่สุดร้อยละ 17.3
ข้อเสนอแนะ
1) เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุข ยุวอาสาสมัครสาธารณสุข ควรมีการรณรงค์ เพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ ทัศนคติ ที่ถูกต้องให้ประชาชนกลุ่มวัยทำงาน ในประเด็นต่อไปนี้
(1) ออกกำลังกาย 3 – 5 วันต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องนานครั้งละ 20 – 60 นาที และมีความหนัก อยู่ในระดับปานกลาง
(2) การออกกำลังกายมีประโยชน์มาก ทำให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยลดโอกาสป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
(3) การออกกำลังกายมีความสำคัญ และจำเป็น สามารถทำได้ทุกที่ ไม่เว้นที่ทำงาน
2) ควรมีการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการออกกำลังกายผ่านสื่อบุคคลเป็นหลัก เช่น ผ่านเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุข ยุวอาสาสมัครสาธารณสุข เป็นต้น
3) ควรมีการจัดกิจกรรม “ชวนคนที่เรารักมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ”
4) ควรมีการส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ในหมู่บ้าน ชุมชน ที่ทำงาน