คิดถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง
ข่าวใหญ่ที่สุดของกีฬาไทยในช่วงนี้ไม่มีอะไรเกิน ดราม่าชุดแข่งขันนักกีฬา เมื่อแบรนด์แกรนด์สปอร์ตตัดสินใจ ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคืออนุญาตให้เมย์-รัชนก อินทนนท์ ใส่เสื้อแข่ง "ยี่ห้ออื่น" ในการแข่งขันโอลิมปิก
เหตุการณ์เป็นอย่างไร วิเคราะห์บอลจริงจัง จะอธิบายโมเมนต์สำคัญที่สุด ว่าทำไมแกรนด์สปอร์ตจึงยอมให้เมย์-รัชนก ใส่ชุดของโยเน็กซ์ ลงแข่งขันในโอลิมปิกได้
ก่อนอื่นต้องอธิบายว่า แกรนด์สปอร์ต เป็นแบรนด์ที่มีอายุยาวนานถึง 6 ทศวรรษ พวกเขาอยู่กับวงการกีฬาไทยมาตลอด และเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีกับคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยด้วย
แกรนด์สปอร์ต เซ็นสัญญาเป็นผู้ผลิตเสื้อแข่งขันให้นักกีฬาไทยมา 3 ครั้งติดต่อกัน ได้แก่
- สัญญาฉบับที่ 1 ปี 2005-2008
- สัญญาฉบับที่ 2 ปี 2009-2012
- สัญญาฉบับที่ 3 ปี 2013-2017
ตามด้วยฉบับที่ 4 คือปี 2018-2022 เป็นตัวเลขมูลค่า 181 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมโอลิมปิก 2020 และ เอเชียนเกมส์ 2022 กล่าวคือนักกีฬาไทยทุกคน ต้องใส่ชุดแข่งขันของแกรนด์สปอร์ตลงแข่งในทุกชนิดกีฬา
ต่อให้ทุกคนจะมีสปอนเซอร์ส่วนตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าลงแข่งในทัวร์นาเมนต์ทีมชาติ จะต้องใส่แกรนด์สปอร์ต เรื่องนี้เป็นความเข้าใจร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม แกรนด์สปอร์ต ก็ต้องมาเผชิญกับดราม่าที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง เมื่อในโอลิมปิกครั้งนี้ พวกเขาโดนวิจารณ์เรื่องชุดการแข่งขันว่า เชยและรุ่มร่ามมากเกินไป
เรื่องเชยก็ประเด็นหนึ่ง ทุกคนมีสิทธิ์วิจารณ์กันไป ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่น่ากังวลใจมากกว่าคือเรื่อง "ความรุ่มร่าม" ของเสื้อผ้า เพราะมันมีผลต่อ Performance ของนักกีฬา
กีฬาบางชนิด ชุดแข่งอาจไม่ได้มีผลมากนัก แต่กับกีฬาที่ต้องเคลื่อนที่ตลอด อย่างแบดมินตัน คุณเห็นชัดเจนเลยว่า มันส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของนักกีฬาจริงๆ
เราเห็น เมย์-รัชนก ต้องคอยถกแขนเสื้ออยู่เป็นประจำ รับรู้ได้ว่ามีความกวนใจอยู่บ้าง เดินไป เดี๋ยวถกเสื้อ เดี๋ยวถกเสื้อ คือมันไม่คล่องตัว และดูน่าอึดอัดแทน
ชุดแข่งประจำตัวที่เมย์-รัชนก ใช้ตอนแข่งเวิลด์ทัวร์ คือแบรนด์โยเน็กซ์ ซึ่งเป็นแขนกุด มันก็จะมีความกระชับกว่านี้ แต่ของแกรนด์สปอร์ตจะเป็นเสื้อมีแขน และไม่ได้ Fitting แบบพอดีตัว ทำให้มีความรุ่มร่ามอย่างที่เราเห็นกัน
ย้อนกลับไปวันที่ 28 กรกฎาคม เวลา 20.00 น.ที่ญี่ปุ่น เมย์-รัชนก ลงแข่งรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายกับโซเนีย เซียะ มือ 18 จากมาเลเซีย นัดนี้เมย์ต้องชนะอย่างเดียว ถ้าแพ้ตกรอบ
ปรากฏว่าตลอดการแข่ง เธอเล่นได้อย่างน่าอึดอัด รัชนกแพ้ไปก่อนในเกมแรก 21-19 สถานการณ์วิกฤติถึงขีดสุด แต่โชคยังดี ที่เธอใช้ความเก๋าคัมแบ็กกลับมาชนะ อีก 2 เกมที่เหลือ 21-18 และ 21-10 เข้ารอบมาแบบหืดจับมาก
สิ่งหนึ่งที่เราเห็นอีกครั้ง ก็คือชุดแข่งมีผลต่อฟอร์มการเล่นของเธอจริงๆ มันดูเทอะทะมากจนน่ากวนใจ
ประเด็นนี้ แฟนกีฬาชาวไทยจึงแสดงความไม่พอใจใส่แกรนด์สปอร์ตเป็นอย่างมาก ว่าทำไมออกแบบชุดแบบนี้ ทำไมไม่ทำให้มีความกระชับ น้องเมย์จะได้เล่นได้คล่องตัวหน่อย
ธารา พฤกษ์ชะอุ่ม ซีอีโอของแกรนด์สปอร์ต ก็เห็นเหมือนกันว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาอธิบายว่า "เราตั้งใจทำชุดแข่งขันให้ดี ไม่อยากให้มีข้อผิดพลาดใดๆกับนักกีฬา จริงๆเราก็ไว้ใจทีมงานของเรา แต่บทมันจะผิดพลาด มันก็เหมือนมีกองหลัง 4 คนยืนอยู่ ได้แต่ป้องกันด้วยสายตา แล้วปล่อยบอลเข้าประตู"
ฝั่งแกรนด์สปอร์ต ได้ติดต่อไปที่คณะกรรมการโอลิมปิกไทย เพื่อให้สอบถามนักกีฬาเรื่องชุดแข่งว่าโอเคไหม แต่ได้รับคำตอบจากตัวนักกีฬาว่า "โอเค ไม่มีปัญหา"
เมย์ รัชนกบอกในภายหลังว่า "เอาจริงๆ เสื้อแข่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับตัวหนูเท่าไหร่ เพราะใส่อะไรก็ได้ ที่ผ่านมาหนูก็ใส่ของแกรนด์สปอร์ตลงแข่งขันมาตั้งแต่รอบแรกอยู่แล้ว หน้าที่สำคัญที่สุดของหนูคือลงไปทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในสนามก็แค่นั้น"
น้องเมย์บอกว่าไม่มีปัญหา แต่เราไม่รู้ว่าจริงๆ เธอคิดแบบนั้นไหม แน่นอนว่าเธอคงบอกไม่ได้หรอกว่า "โอ๊ย ชุดแข่งรุ่มร่าม หนูไม่ชอบเลยค่ะพี่" เธอเข้าใจสถานการณ์ดี ว่าลิขสิทธิ์เสื้อแข่งเป็นของใคร และแกรนด์สปอร์ตกับสมาคมแบดมินตัน ก็ต้องร่วมงานกันอีกนาน ไม่มีประโยชน์ที่จะมาก่อดราม่าเอาตรงนี้
น้องเมย์แข่งจบ เวลา 3 ทุ่มที่ญี่ปุ่น เธอต้องรีบเข้านอน เพราะต้องตื่นเช้ามาแข่งต่อทันทีเวลา 9 โมงเช้าที่ญี่ปุ่น
ในระหว่างที่น้องเมย์หลับไปแล้ว ก็มีสายโทรศัพท์สำคัญที่สุดเกิดขึ้น และจะถูกเล่าขานต่อไปในอนาคต
เมื่อคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล นายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ที่อยู่ที่ญี่ปุ่น ได้โทรศัพท์มาที่ไทย โทรหาธารา พฤกษ์ชะอุ่ม ซีอีโอของแกรนด์สปอร์ต ในเวลาตีสองที่ญี่ปุ่น กับประโยคที่เรียบง่ายว่า "พอจะเป็นไปได้ไหม ที่ทางแกรนด์สปอร์ต จะอนุญาตให้นักแบดมินตัน ใส่แบรนด์อื่นที่ไม่ใช่แกรนด์สปอร์ตเป็นการเฉพาะกิจในโอลิมปิกครั้งนี้"
นี่เป็นคำขอที่ต้องบอกว่า ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์กีฬาไทย ลองนึกภาพตามนะครับ สมมุติฟุตบอลทีมชาติไทย ใส่ชุดแข่งวอร์ริกซ์ลงเล่นฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกอยู่ แล้วนายกสมาคมฟุตบอล โทรหาเจ้าของวอร์ริกซ์บอกว่า "เกมหน้าขอให้ทีมชาติไทยใส่ชุดยี่ห้ออื่นแข่งได้ไหม" ถามหน่อยว่าใครจะไปยอม วอร์ริกซ์ก็ต้องโวยสิ ว่าผมจ่ายเงินไปแล้วนะเป็นร้อยล้าน คุณจะมาขอแบบนี้ได้ไง
ไม่ใช่แค่นั้น เรื่องนี้เอาจริงๆ มันเกี่ยวพันหลายอย่าง ลองคิดดูว่า ถ้าแกรนด์สปอร์ตยอมนักกีฬา 1 คน เดี๋ยวในอนาคต อาจมีสมาคมอื่นมาขอเปลี่ยนเสื้อแข่งอีกก็ได้ มันจะชุลมุนวุ่นวายกันเข้าไปใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้น แล้วถ้าสมมติเปลี่ยนไปใส่ยี่ห้ออื่น ทางคณะกรรมการโอลิมปิกไทย จะยอมง่ายๆ หรือ เพราะอีกแบรนด์ ก็ไม่ได้เซ็นสัญญาจ่ายเงินให้อย่างเป็นทางการเสียหน่อย แล้วอยู่ๆ จะได้ภาพลักษณ์ดีๆ ในโอลิมปิกไปใช้แบบฟรีๆ มันก็ไม่น่าจะถูกต้อง
แต่แน่นอน ธารา ยอมรับว่าชุดแข่งที่ออกแบบไปมันก็รุ่มร่ามจริงๆนั่นแหละ และทางแก้ที่เหมาะที่สุดคือ รีบส่งชุดแข่งที่ตัดเย็บใหม่ ไปจากไทยทันที เพื่อส่งให้ถึงน้องเมย์ในวันรุ่งขึ้น
แต่ในทางปฏิบัติมันทำไม่ได้ กว่าจะตัดเย็บ กว่าจะบินไปถึง มันก็ไม่ทันการ เพราะน้องเมย์ก็ต้องลงแข่งกับเกรกอเรีย ตันจุง จากอินโดนีเซีย เวลา 9 โมงเช้าที่ญี่ปุ่น กรอบเวลามันน้อยเกินไปในการจะผลิตเสื้อแข่งตอนนี้
ธารากล่าวว่า "เมื่อคุณหญิงปัทมาขอมาแบบนั้น เราก็ต้องมาคิดว่า แล้วควรทำยังไง และตอนนั้น ผมคิดถึงคุณพ่อของผม ว่าท่านจะทำแบบไหน"
คุณพ่อของธารา คือ กิจ พฤกษ์ชะอุ่ม ผู้ก่อตั้งแกรนด์สปอร์ต ที่เสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว เขาได้ส่งไม้ต่อให้ลูกชายบริหารงานต่อ และนี่เป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดของธารา
"คุณกิจก็คงจะบอกว่า เอาผลประโยชน์ของนักกีฬา ผลประโยชน์ของประเทศชาติมาก่อน ให้นักกีฬาเขาเล่นให้ชนะเถอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ผมคิดว่าพ่อของผมคงพูดแบบนี้"
ธารารู้ ว่าคราวนี้แกรนด์สปอร์ตออกแบบผิดพลาด และการแก้ไขความผิดพลาดที่ดีที่สุด ไม่ใช่หาข้ออ้างแก้ตัว แต่ลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลง ส่วนปัญหาต่างๆที่จะตามมา เดี๋ยวเขาแบกรับเอาไว้เอง
นั่นทำให้ธาราจึงตัดสินใจบอกคุณหญิงปัทมาว่า "ยินยอม" ให้นักแบดมินตัน ใช้ชุดแข่งขันของแบรนด์อื่นได้เป็นการเฉพาะกิจ แต่มีเงื่อนไขคือ ห้ามมีโลโก้ เพราะเขาเองก็ไม่อยากสร้างความลำบากใจให้คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยเหมือนกัน
คุณหญิงปัทมาตอบตกลง จากนั้นเมื่อวางสาย เธอจึงรีบไปดีลกับโยเน็กซ์ ซึ่งเป็นสปอนเซอร์หลักของน้องเมย์ รัชนก ให้จัดหาชุดแข่งทันที และดีไซน์ให้เอาธงชาติไทย แปะที่หน้าอกแทนที่โลโก้ของโยเน็กซ์แทน
โยเน็กซ์จัดทำเสื้อแข่งอย่างรวดเร็วมากในกรอบเวลาแค่ไม่ถึง 7 ชั่วโมง และในที่สุด ก่อนที่เมย์-รัชนก จะแข่งขันในเวลา 9.00 ที่ญี่ปุ่น สมาคมฯ ก็เอาเสื้อแข่งไปให้ โดยเมย์กล่าวว่า "นี่เป็นเสื้อแข่งที่เพิ่งได้มาเมื่อช่วงเช้าเลยค่ะ ทางผู้ใหญ่บอกว่าให้เปลี่ยนก่อนการแข่งขัน ก็เลยใส่ลงสนามแข่งทันที"
ผลสรุปคือด้วยชุดแขนกุดของโยเน็กซ์ ทำให้การเคลื่อนที่ของน้องเมย์ มีความคล่องตัวสูงมากและเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ ก่อนจะเอาชนะ ตันจุงจากอินโดนีเซียอย่างง่ายดายมากๆ 21-12 และ 21-19 เข้ารอบ 8 คนสุดท้ายไปอย่างเพอร์เฟ็กต์ที่สุด ไปชนกับไท่ จื้อ-อิง มือ 1 ของโลก ในรอบ 8 คนสุดท้าย
เรื่องนี้ แม้จะเป็นแค่เรื่องเสื้อแข่งขัน แต่เราจะเห็นได้ว่ามีความหมายที่น่าประทับใจหลายอย่างซ่อนอยู่
อย่างแรก เราเห็นความเป็นมืออาชีพของเมย์ รัชนก เธอยืนยันว่าใส่ชุดอะไรก็ได้ เธอเลือกใช้คำพูดอย่างฉลาด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อใครเลย
อย่างที่ 2 เราเห็นความตั้งใจของสมาคมแบดมินตัน ที่เห็นปัญหาอยู่ชัดๆ ว่าชุดแข่งมันเป็นยังไง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยไปตามยถากรรม แต่กล้าจะพูด กล้าเสนอความเห็น ลองหาทางว่าเป็นไปได้ไหม ที่จะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น คิดดูว่าแข่งจบ 3 ทุ่ม แล้วแข่งรอบต่อไปตอน 9 โมงเช้า มีเวลาแค่ 12 ชั่วโมง แต่คุณหญิงปัทมา ก็ทำให้ดีลนี้เกิดขึ้นได้
อย่างที่ 3 เราเห็นความมีสปิริตของแกรนด์สปอร์ต ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ที่คุณจ่ายเงินซื้อลิขสิทธิ์ในเวทีใหญ่อย่างโอลิมปิกไปแล้ว ก็ย่อมหวังจะได้เห็น แบรนด์เสื้อของคุณไปเฉิดฉายในเวทีโลก ลองคิดดูว่ารอบต่อไป เมย์ เจอไท่ จื้อ-อิง จากไต้หวัน นี่เป็นแมตช์ที่คนจะดูทั้งโลกแน่ๆ แต่แกรนด์สปอร์ตก็เห็นแก่นักกีฬาและผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ตัดใจยอมให้ใช้เสื้อแข่งยี่ห้ออื่นแทนได้ คิดดูว่า การทิ้งผลประโยชน์ของตัวเองก็ต้องใช้หัวใจที่ใหญ่เหมือนกันนะ
อย่างที่ 4 เราเห็นศักยภาพในการจัดเตรียมชุดแข่งในกรอบเวลาที่สั้นมากๆ ของโยเน็กซ์ แต่ก็จัดเตรียมชุดได้อย่างเรียบร้อย แถมรักษาสัญญาเป็นอย่างดี ปิดโลโก้ทุกอย่าง จนสุดท้ายน้องเมย์มี Performance ที่ดีมากๆ ในการแข่งขัน
และอย่างที่ 5 เราเห็นว่าคำวิจารณ์ใดๆ ของประชาชน มันมีผลต่อความเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ ถ้าหากไม่มีการวิจารณ์ ฝั่งสมาคมฯ แบดมินตันก็อาจจะไม่ขยับตัวก็ได้ เช่นเดียวกับแกรนด์สปอร์ต ก็อาจไม่เทกแอ็กชั่นก็ได้ แต่เมื่อสังคมเห็นว่าบางอย่าง มัน "น่าจะดีกว่านี้ได้" ก็บอกกล่าวกัน และสุดท้าย มันก็นำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงในที่สุด
สำหรับโอลิมปิกครั้งนี้ นี่เป็นโมเมนต์เล็กๆ แต่มีความงดงาม เพราะเราได้เห็นว่า เมื่อปัญหามันเกิดขึ้นแล้ว ประชาชนไม่นิ่งเฉยแต่พยายามส่งสารให้คนมีอำนาจได้รับรู้
ส่วนคนมีอำนาจเมื่อได้รับรู้แล้ว ก็ไม่ได้ปล่อยผ่าน แต่ยอมรับว่าปัญหามันเกิดขึ้นจริงๆ และช่วยกันหาทางแก้ไข จากนั้นใช้เวลาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องผ่านหลายขั้นตอน โดยคิดถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้งไว้ก่อน
สุดท้ายนี้ ไม่มีอะไรจะกล่าวนอกจาก ขอขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องจริงๆ ที่กล้าทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
และเชื่อไหม มันเป็นเหตุการณ์ที่มีพลังอย่างมากจริงๆ เพราะมันส่งสารให้คนทั้งประเทศได้รู้สึกว่า ถ้าลองคุณตั้งใจจะทำอะไรจริงเสียอย่าง ปัญหาอะไร มันก็แก้ไขได้ทั้งนั้น