น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ๙ มิถุนายน “วันอานันทมหิดล”
วันนี้เมื่อ ๗๕ ปีที่แล้ว “กระสุนนัดเดียว ได้ยินทั้งประเทศ” แล้วเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็ได้เกิดขึ้น
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ สวรรคต เช้าวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลาประมาณ ๙.๐๐ น. เสียงปืนนัดหนึ่งได้ดังขึ้นในห้องพระบรรทม ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง มหาดเล็กหน้าห้องพระบรรทมได้รีบเข้าไปดู เห็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๘ บรรทมอยู่ มีพระโลหิตไหลเปื้อน พระองค์และเสด็จสวรรคตเสียแล้ว
ข่าวในหลวง รัชกาลที่ ๘ สวรรคตนำความโศกสลดมาสู่พสกนิกรชาวไทยในขณะนั้นอย่างใหญ่หลวง เสียงร่ำไห้ รำพัน และความเงียบสงัดแผ่ไปทั่วทุกมุมเมือง ความทุกข์โศกเศร้าอาลัยของปวงชาวไทยมีมากมาย จนเหลือที่จะพรรณาได้
“...ข่าวการสวรรคต ของรัชกาลที่ ๘ ถูกปิดมิให้สมเด็จฯ พระพันวัสสาทรงทราบ...หญิงจีนเดินร้องไห้เมื่อทราบข่าวการสวรรคต...”
หนังสือพิมพ์ในสมัยนั้นลงข่าวถึงการสวรรคตของ รัชกาลที่ ๘ อย่างโศกสลด
“วันสวรรคต ถูกปกคลุมด้วยเมฆสีดำเป็นระยะ”
สมาคมพาณิชย์จีนและสมาคมพ่อค้าจีน เรียกประชุมพิเศษให้พ่อค้าขายเครื่องไว้ทุกข์ราคาถูก เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทั่วโลกต่างสลดใจในข่าวสวรรคต วิทยุสิงคโปร์หยุด ๒ วัน บีบีซีหยุดครึ่งนาที ส่งสาสน์ถึงพระราชชนนีในหลวง คณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและชาวไทย และหนังสือพิมพ์อังกฤษทุกฉบับถวายพระเกียรติอย่างเต็มที่
รัฐบาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอังกฤษ สถานทูตอังกฤษ กองทัพอังกฤษในประเทศไทยส่งสาสน์แสดงความเศร้าสลดในเหตุการณ์ครั้งนี้
“...รัฐบาลอเมริกันแสดงความโทมนัสมายังประชาชนชาวไทย...ที่ได้สูญเสียพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักและเคารพ..”
“...สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระชันษาในวัยหนุ่มได้ทรงเป็นภาพพิมพ์ใจแก่บุคคลที่ได้เข้าเฝ้า ข้าพเจ้ารู้สึกโทมนัสยิ่งที่พระองค์ก็ทรงด่วนจากเราไป ข้าพเจ้าขอแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริงต่อชาวไทยที่ได้สูญเสียสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเป็นที่เคารพสักการะและทรงเมตตากรุณาต่อพระบรมวงศานุวงศ์ในยามวิปโยคนี้...” ฯลฯ
“...ด้วยนับแต่วันที่ ๒ มิถุนายน ศกนี้เป็นต้นมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เริ่มทรงพระประชวรเกี่ยวกับพระนาภีไม่เป็นปกติ และทรงเหน็ดเหนื่อยไม่มีพระกำลัง แม้กระนั้นก็ดีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้เสด็จประพาสเยี่ยมราษฏรอันเป็นพระราชกิจของพระองค์ ครั้นต่อมาพระอาการเกี่ยวกับพระนาภีก็ยังมิได้ทุเลา จึงต้องเสด็จประทับอยู่พระที่นั่งมิได้เสด็จออกงานตามหมายกำหนดการ ครั้นวันที่ ๙ มิถุนายน ศกนี้ ตอนเช้าเวลา ๖ นาฬิกา ได้เสวยพระโอสถน้ำมันละหุ่งแล้วเข้าห้องสรงซึ่งเป็นพระราชกิจประจำวัน แล้วเสด็จเข้าพระที่ ครั้งเวลาประมาณ ๙ นาฬิกา มหาดเล็กห้องพระบรรทมได้ยินเสียงปืนบนพระที่นั่ง จึงรีบเข้าไปดู สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมอยู่บนพระที่มีพระโลหิตไหลเปื้อนพระองค์และสวรรคตเสียแล้ว มหาดเล็กห้องพระบรรทมจึงไปกราบทูลสมเด็จพระราชชนนีให้ทรงทราบ แล้วเสด็จไปถวายบังคมพระบรมศพ ต่อนั้นมามีพระบรมวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีได้เข้าไปกราบถวายบังคม และอธิบดีกรมตำรวจกับอธิบดีกรมการแพทย์ได้ไปตรวจพระบรมศพและสอบสวน สันนิษฐานได้ว่า คงจะทรงจับคลำพระแสงปืนตามพระราชอัธยาศัยที่ทรงชอบ แล้วเกิดอุปัทวเหตุขึ้น...”
สำนักพระราชวัง
วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙
การสวรรคตของพระองค์เกิดจากอุบัติเหตุด้วยพระแสงปืนลั่นขณะทอดพระเนตรอยู่ ซึ่งได้สร้างความคลางแคลงใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก ปรากฏว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อคำแถลงการณ์ของราชการนี้ จึงมีแต่ความสงสัยว่า แท้จริงแล้วพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยเหตุใดกันแน่
ความสูญเสียที่สมเด็จพระราชชนนีและสมเด็จพระอนุชาทรงได้รับในครั้งนี้ ก็คงไม่ต้องกล่าวถึงว่า สาหัสและรุนแรงยิ่งกว่าสักเพียงไหน ในตอนหนึ่งของหนังสือพระมามลายโศกหล้าเหลือสุข ได้กล่าวถึงบันทึกความรู้สึกของผู้ที่เคยได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับพระสมเด็จพระราชชนนีและสมเด็จพระอนุชาเอาไว้ดังนี้
“...ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นแม่ลูกที่ไหนรักกันมากเท่านี้ คำก็แม่สองคำก็แม่ แม่รักลูกเสียจริง ๆ ประเดี๋ยวๆ ก็เข้ากอดกันซ้ายคนขวาคน นันท์อย่างนั้น เล็กอย่างนี้ คำน้อยไม่กล่าวให้เป็นที่สะเทือนใจกันเลย ล้อกันเล่น มาตั้งแต่เล็กจนโตคิดดูเถิดลูกกำพร้าพ่ออยู่ในหัวอกแม่มาตั้งแต่น้อยคุ้มใหญ่ แม่กับลูก ลูกกับแม่จะรักกันสนิทสนมเพียงไร แต่ละพระองค์ล้วนแต่เป็นดวงพระราชหฤทัยของกันและกัน แต่เมื่อพระองค์หนึ่งต้องมาจากไป ด้วยอาการเช่นนี้ ใครเล่าจะเข้ามาอยู่ข้างขวา หัวอกสมเด็จพระราชชนนีจะเป็นอย่างไร ผู้สนิทสนมที่ได้เฝ้าอยู่โดยใกล้ชิดย่อมรู้ชัดเจนดีอยู่...”
ความโศกเศร้าในพระราชหฤทัยในครั้งนั้น ท้าวโสภานิเวศน์ (ดำเนิน กัมปนานนท์) ได้ย้อนความทรงจำเหตุการณ์ในช่วงนี้เอาไว้มีความว่า
“...พอเสด็จกลับ (จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทที่ประดิษฐานพระบรมศพ) พระเจ้าอยู่หัวประทับข้างพระองค์สมเด็จพระราชชนนี ทั้งสองพระองค์ประทับบนพระเก้าอี้องค์เดียวกัน สมเด็จฯ ก็ทรงซ้อนพระบาทขึ้นมาวางบนพระเก้าอี้แล้วก็หมดพระกำลัง ต่างพระองค์หันพระพักตร์หนีกันทรงพระกันแสง คนหมอบเฝ้าฯ อยู่ต่างก้มเปิดหีบทำเป็นค้นอันนั้นอันนี้ ข่าวลือก็มีต่าง ๆ ว่าเขาจะมาฆ่าอีกพวกเราก็ไปนั่งเฝ้ากัน ผู้หญิงทั้งนั้น...”
ที่มา หนังสือบันทึกอานันทมหิดล ยุวกษัตริย์พระองค์แรกในระบอบประชาธิปไตย และหนังสือเอกกษัตริย์ ใต้รัฐธรรมนูญ