“แอนตาเวียร์” นวัตกรรมสมุนไพรไทยต้านโควิด-19
ข่าวดี! สจล. ร่วมมือเอกชนเปิดตัว “แอนตาเวียร์” นวัตกรรมสมุนไพรไทยต้านโควิด-19 ผลิตผ่านเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมหนุนไทยเป็นผู้นำใช้เทคโนโลยีผลิตยาสมุนไพร ลดการนำเข้านับแสนล้าน
- อธิการบดี สจล. เผยความพร้อมจัดตั้งโรงพยาบาลศูนย์วิจัย สู่เป้าหมายศูนย์กลางทางการแพทย์ครบวงจร แห่งแรกในอาเซียน!
กรุงเทพฯ 22 กรกฎาคม 2563 – สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ร่วมกับ บจก.เมดิกรีน เปิดตัว “แอนตาเวียร์” นวัตกรรมสมุนไพรไทยต้านโควิด-19 ด้วยเทคโนโลยีกระบวนการสกัดสมัยใหม่ และเทคโนโลยีห่อหุ้มสารสำคัญ ที่เป็นอนุสิทธิบัตรของคณะแพทยศาสตร์ สจล. และบริษัทฯ โดยนวัตกรรมสมุนไพรดังกล่าวจะช่วยเสริมภูมิร่างกาย ต้านการอักเสบ ยับยั้งพายุไซโตไคน์ และลดการขยายตัวของไวรัส ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทางรอดในการป้องกันโรคติดเชื้อต่างๆ รวมถึงโรคโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง โดย สจล. เดินหน้าผลักดันการใช้เทคโนโลยีผลิตยารักษาโรค ด้วยสมุนไพรเพื่อลดต้นทุนการนำเข้ายาจากต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงถึงปีละกว่าแสนล้านบาท พร้อมเตรียมจัดตั้ง “โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร” หรือโรงพยาบาลศูนย์วิจัยที่ทำหน้าที่ให้การรักษา ตลอดจนเป็นศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ และยารักษาโรค หวังเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ครบวงจรแห่งแรกในอาเซียน
นายแพทย์อนวัช เสริมสวรรค์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ สจล. กล่าวว่า เนื่องด้วยสถานการณ์โรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้เสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 5 หรือมากกว่า 6 แสนคนทั่วโลก ทำให้คณะแพทยศาสตร์ สจล. ตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะการคิดค้นยาต้านไวรัสที่ดีและปลอดภัย ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการแพร่เชื้อง่ายและมีความรุนแรง เป็นที่มาของการศึกษาวิจัยสมุนไพรไทยเพื่อนำมาใช้ในการรักษาไข้หวัด โดยล่าสุด สจล. ร่วมกับภาคเอกชน ทำการศึกษาวิจัยสมุนไพรต้านโควิด-19 ในชื่อ “แอนตาเวียร์” โดยใช้เทคโนโลยีการห่อหุ้มสารสำคัญจากสมุนไพรเพื่อกำจัดเชื้อไวรัส และได้รับการรับรองอนุสิทธิบัตรมานานกว่า 3 ปี อีกทั้งเทคโนโลยีดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสำนักการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพให้กับคนไทย ซึ่งทางผู้บริหารของ สจล. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ วช. ไปเป็นที่เรียบร้อย ในปี 2561
นายแพทย์อนวัช กล่าวต่อว่า โครงการศึกษาวิจัยสมุนไพรไทยดังกล่าวได้ทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสมุนไพรไทย อาทิ ขมิ้น พลูคาว และกระชายขาวมาเป็นเวลานานกว่า 5 ปี จนค้นพบว่าสมุนไพรดังกล่าวสามารถหยุดยั้งการเติบโตของเชื้อไวรัสได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการรักษาไข้หวัด โดยเฉพาะไข้หวัดที่มีความรุนแรง เช่น โควิด-19 นอกจากนี้ คณะแพทยศาสตร์ สจล. ยังเตรียมเดินหน้าพัฒนางานวิจัยดังกล่าวเพื่อประยุกต์ใช้กับสมุนไพรไทยตัวอื่นๆ เพื่อเป็นทางเลือกแทนการรักษาด้วยยานำเข้าจากต่างประเทศที่มีผลข้างเคียงและราคาแพง ป้องกันการใช้ยาผิดประเภทเช่น การใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็น ซึ่งการขับเคลื่อนงานวิจัยนี้จะมีส่วนช่วยลดต้นทุนการนำเข้ายาจากต่างประเทศในระยะยาว ส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง สร้างและผลิตยาสำหรับโรคติดเชื้อไวรัสได้เองภายในประเทศ โดยใช้องค์ความรู้ บุคลากรและทรัพยากรสมุนไพรที่มีในประเทศไทย เพื่อให้เราสามารถพึ่งพาตัวเองและสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการเกษตร
ด้าน ดร. เกรียงศักดิ์ ขาวเนียม อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ สจล. กล่าวเสริมว่า “แอนตาเวียร์” หรือนวัตกรรมสมุนไพรไทยต้านโควิด-19 ข้างต้น ถูกพัฒนาขึ้นในรูปแบบซอฟต์เจลร่วมกับแคปซูลปกติ เพื่อเพิ่มการดูดซึมของสารออกฤทธิ์ เพิ่มความเสถียรของสารสำคัญ ไม่ให้ถูกทำลายโดยออกซิเจน อีกทั้งเป็นสูตรตำรับที่พัฒนาจากสมุนไพรที่มีงานวิจัยรองรับในการยับยั้งเชื้อไวรัสโดยเฉพาะ โดยการใช้องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีกระบวนการสกัดสมัยใหม่ และเทคโนโลยีห่อหุ้มสารสำคัญ ซึ่งนวัตกรรมสมุนไพรต้านโควิด-19 มีส่วนประกอบของสารสกัดพลูคาว ขมิ้น กระชายขาว ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส สารสกัดเบต้ากลูแคนจากยีสต์ และสารสกัดเห็ดหลินจือและถั่งเช่า ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน และสารสกัดขมิ้น กระชายขาว ยังช่วยยับยั้งการเกิดพายุไซโตไคน์ที่เป็นสาเหตุสำคัญนำไปสู่ภาวะการหายใจล้มเหลวอีกด้วย โดยงานวิจัยดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นเพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์ (translational research) นอกจากใช้สำหรับโรคโควิด-19 แล้ว ทางทีมวิจัยต้องการขยายผลเพื่อใช้กับโรคหวัดอีกด้วย
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า สจล.มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมสมุนไพรไทยต้านโควิด-19 ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อวงการการแพทย์ในอนาคต โดยองค์ความรู้ที่ทีมวิจัย และพัฒนานวัตกรรม คณะแพทยศาสตร์ สจล. ได้นำมาใช้ในการคิดค้นนวัตกรรมสมุนไพรต้านโควิด-19 เป็นองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีกระบวนการสกัดสมัยใหม่ และเทคโนโลยีห่อหุ้มสารสำคัญ ที่ได้รับการรับรองในอนุสิทธิบัตร อีกทั้งอยู่ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการผลักดัน “โครงการน้ำมันเสริมสุขภาพด้วยสารสกัดขมิ้น สู่การใช้ประโยชน์ในระดับอุตสาหกรรม” จัดทำขึ้นโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อเป้าหมายการสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่คนไทย อีกทั้งเพื่อการต่อยอดในแง่การส่งเสริมอุตสาหกรรมยาของประเทศอีกด้วย โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา พบว่าในปี 2561 ประเทศไทยมีสถิติการนำเข้ายาจากต่างประเทศสูงกว่า 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งความสำเร็จในการคิดค้นนวัตกรรมสมุนไพรต้านโควิด-19 ครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณอันดีที่ในอนาคตประเทศไทยจะสามารถพึ่งพาตัวเองในการผลิตยารักษาโรค ตลอดจนสามารถลดต้นทุนการนำเข้ายาจากต่างประเทศได้เป็นมูลค่ามหาศาล
นอกจากนี้ สจล. ยังเตรียมแผนจัดตั้ง “โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร” หรือโรงพยาบาลศูนย์วิจัยที่ทำหน้าที่ให้การรักษา ตลอดจนเป็นศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ และยารักษาโรค โดยใช้องค์ความรู้ที่มีของ สจล. ทั้งด้านการแพทย์ วิศวกรรม การออกแบบ และเทคโนโลยี โดย สจล. มุ่งหวังว่าโรงพยาบาลศูนย์วิจัยจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ครบวงจรแห่งแรกในอาเซียน
“สจล. มุ่งหวังว่า “โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร” ที่กำลังจะถูกจัดตั้งขึ้นในเร็วๆ นี้ จะเป็นการเปิดโอกาสให้บุคลากรทางการแพทย์ ทีมนักวิจัย และนักออกแบบที่มีความรู้ความสามารถ ได้ใช้พื้นที่นี้ร่วมกันเพื่อพัฒนางานวิจัย และนวัตกรรมทางการแพทย์ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง เพื่อยกระดับวงการการแพทย์ไทยให้มีศักยภาพในการรักษา ตลอดจนผลิตนวัตกรรมได้ด้วยตัวเองอย่างครบวงจร” ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ กิจกรรมเปิดตัว “แอนตาเวียร์” นวัตกรรมสมุนไพรต้านโควิด-19 จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ คณะแพทยศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กรุงเทพฯ สำหรับผู้ที่สนใจรับผลิตภัณฑ์ “แอนตาเวียร์” ฟรี(จำนวนจำกัด)ติดต่อได้ที่ Line ID: @medigreen หรือสนใจข้อมูลนวัตกรรมสมุนไพรต้านโควิด-19 ตลอดจนนวัตกรรมสู้โควิด-19 อื่นๆ สามารถติดตามข้อมูลได้ที่สำนักงานบริหารงานวิจัยและนวัตกรรมพระจอมเกล้าลาดกระบัง (KRIS) โทร. 091-812-0416 หรืออีเมล kannika.li@kmitl.ac.th และสำหรับผู้ที่สนใจร่วมบริจาคเพื่อสร้างโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร สามารถร่วมบริจาคได้ที่ บัญชีมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร เลขที่บัญชี 693-032-3934ธนาคารกรุงไทย