ปอดบวมจากอู่ฮั่น: ประเทศไทยจุดไหน “ใช่พอดี”
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย เผยการระบาดของโรคไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศจีน พร้อมแนะวิธีการป้องกันโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ที่เดินทางมาแหล่งที่มีการระบาดของโรค เผยยังไม่มียารักษาไวรัสหรือยาต้านไวรัสโดยตรง ได้แต่ใช้วิธีการรักษาตามอาการหรือการรักษาแบบประคับประคองเท่านั้น แต่ในอนาคตโรคนี้จะกลายเป็น “โรคประจำถิ่น” ที่ไม่รุนแรง โดยคนทั่วไปจะเริ่มมีภูมิต้านทานและปรับตัวได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0u5SircH0gPD7WxFCKf4gepaKGVjUAnp9ePBaPMaBR3E8Bb4gS_WKNbxNnbzHWUUt5TWNI1bBwKE-PbdwZGDxIf6Bg-jImW6G5JHokOkdsB_ob6tJCsXRNU9XortKTfp-r3Zt6RWX2Lg/s640/%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B7%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD2.jpg)
ผศ.นพ.กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การติดต่อโรคไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 จะเกิดขึ้นจากการติดต่อทางระบบทางเดินหายใจและการสัมผัสสารคัดหลั่งทางระบบทางเดินหายใจของผู้ติดเชื้อ ดังนั้นผู้ป่วยควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินคือ ผู้ที่มีประวัติเดินทางจากประเทศจีนหรือหรือไม่มีประวัติสัมผัสคลุกคลีกับผู้ได้รับการตรวจยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ และ มีอาการไข้ ไอ น้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ส่วนผู้ที่ไม่มีประวัติเดินทางไปประเทศจีนหรือไม่มีประวัติสัมผัสคลุกคลีกับผู้ได้รับการตรวจยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ แต่มีการของโรคหวัดควรพักอยู่บ้านรักษาตามอาการ หรือไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน เนื่องจากขณะนี้ในประเทศไทยและทั่วโลก ยังมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ และเชื้อไวรัสอื่น ๆ ซึ่งทำให้มีอาการไข้สูง ไอ น้ำมูก เจ็บคอ ได้เช่นกัน
ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ด้านคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ ผศ.นพ.กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูล
https://web.facebook.com/737048116416039/videos/199580437829691
https://web.facebook.com/737048116416039/videos/199580437829691
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEha-j-3u1G__dtX2u_o3DYpeBYf1YTbJm_XWkwVOFS7kGqhTfVX1jrkD_D7PBjNIxRvcdj8XhLBDKu5ucFlCxQYh4syApQxyRibKJ22nsSti2xYOygQOVsDOAOo2CDE1qPI-66Ts7nZMR8/s640/%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25A8.%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%259E.%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AA+%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2598%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%258D+2.jpg)
ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ด้านคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 นั้นเริ่มระบาดจากคนสู่คน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่เดินทางมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ที่เดินทางมาแหล่งที่มีการระบาดของโรค อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 2.5 % ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้แก่ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวต่าง ๆ ยกตัวอย่างในประเทศจีน 1. ในรายที่นอนโรงพยาบาล อาการปานกลางถึงรุนแรงจำนวน 41 คน ทุกรายมีปอดอักเสบ 2. 30% มีโรคประจำตัวเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ ส่วนใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไป 3.ส่วนใหญ่มักจะมีไข้ และ ไอ ปวดกล้ามเนื้อ 40% 4. อย่างไรก็ตามมีอาการที่ระบบอื่น ๆได้ด้วยเช่นปวดหัว ท้องเสีย (ไม่ค่อยมีอาการระบบทางเดินหายใจส่วนต้นเหมือน SARS) 5. โรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ระบบหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (30%) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ไวรัสกระจายในกระแสเลือด และ 6.อัตราตายประมาณ 15% ในรายที่ต้องนอนโรงพยาบาล ด้วยอาการปอดอักเสบ ซึ่งต่อไปในอนาคตเชื้อไวรัสชนิดนี้ อาจจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นที่ไม่รุนแรง โดยคนทั่วไปจะเริ่มมีภูมิต้านทานและปรับตัวได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwHL7ns2ApgMiX98DH68a93KFwDmH0wvt1U6iCWP0m4BoPRpNUKenMniQw3T7D9Mr5KCK11oJDdF9VQ6YD-fyqEzrtLq6DbGhm7evpP61uQbi_IqInbaI56xcDQ0kgjhyphenhyphen012yRyqaIB9Y/s640/%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B7%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD3.jpg)
ศ.พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกูล เลขาธิการสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประทศไทย ให้ข้อมูล
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjF3be_7C0lO92WMjMc5DNdXNHg31H4GQFAgp6cwqntHt-iwlQMaK1JYsYjE9QgEROF-sZ05qdu2axOUHST_2s9xYjqdVf-ctyn-zX5Uavs-9A72vB_dfUyP8OkNqifcRHMrOLRI172Xhc/s640/%25E0%25B8%25A8.%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%258D.%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2593.jpg)
ศ.พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกูล เลขาธิการสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประทศไทย กล่าวว่า ในปัจจุบันยาต้านไวรัสยังมีจำนวนน้อยมาก โดยขณะนี้ยังไม่มียาต้านไวรัสโดยตรง ได้แต่ใช้วิธีการรักษาตามอาการหรือการรักษาแบบประคับประคอง ตามหลักเกณฑ์การรักษา ซึ่งอาจมีการนำยาที่รักษาผู้ป่วยเอชไอวี หรือยารักษาโรคไข้หวัดใหญ่ มาใช้ได้ในบางสถานการณ์ขึ้นอยู่กับการควบคุมดูแลของแพทย์ ทั้งนี้การรักษายังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ายาต้านไวรัสตัวใดมีประสิทธิภาพเป็นพิเศษ โดยทั่วไปโรคจะหายได้เอง ดังนั้นการรักษาประคับประคองตามอาการจึงมีส่วนสำคัญที่สุด สำหรับ คำแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป คือ ป้องกันการติดเชื้อด้วยการลดระยะเวลาการอยู่ในสถานที่แออัดให้น้อยที่สุด หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ผู้ที่มีไข้ หรือมีอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ ระวังไม่ขยี้ตา แคะจมูก หรือหยิบสิ่งของเข้าปากด้วยมือที่ไม่ได้ล้างทำความสะอาด ควรสวมใส่หน้ากากอนามัยเฉพาะเวลาอยู่ในสถานที่แออัดหรืออยู่ใกล้กับผู้ที่มีอาการไอ และทำความสะอาดมือบ่อย ๆ ด้วยแอลกอฮอล์หรือการล้างมือด้วยน้ำและสบู่ นอกจากนี้การติดตามข่าวสารควรติดตามจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้เท่านั้น
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_OzBlgLB16PfW1tfz13-oCwdp0B_IZXNnY0OrZ6ehxN7F8WJrVAxREYSCP2zR0fqSvql6C22nIoODdCGi4mPPE9fM7jaP1p3DbvYJXn8iyCFB7_UFTq6nfx9Nx7oQ69p9X2_uQdf7DX0/s640/%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2596%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7+RCPT+2.jpg)