“วีรศักดิ์” ชู งานหัตถศิลป์ไทย สร้างสรรค์ Creative Craft Economy มุ่งรายได้กลับสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน
“วีรศักดิ์” ชู เศรษฐกิจสร้างสรรค์ พลิกโฉมงานหัตถศิลป์ไทย
สร้างมูลค่าเพิ่ม ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างรายได้กลับสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1a3g_1tARnqoKHwVtfYpTXa7XXT07qDd_5FtCOQoQ3mJKICJrmm10GULEE-ctJIfzCuvuKIwOGkOFt-LA3G_QCKyHKNuUTEX4qyG_1JGVEVT2iAlI9K19XBhgya1BulzPpoxm9eOudDE/s640/S__27779148.jpg)
รมช.พาณิชย์ฯ ลงพื้นที่การประชุมเครือข่ายผู้ผลิตงานหัตถศิลป์ในกลุ่มภาคกลาง ส่งเสริมการใช้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ พลิกโฉมศิลปหัตถกรรมยุคใหม่ให้แข่งขันในตลาดโลก มุ่งผลักดันให้เกิด Creative Craft Economy สร้างรายได้กลับสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg5qlIDtfHknvuzKOq2t20NufytHopxvRydCTJY_41sSILFY4NvAQiHO8mLDzkeM-nj8CH_PZIrd3Dykie6aWkpu9WiHTAOGAzfhNdSrIf257yDUzeYLLjUdFNRKN8q6qnQveZM_SwjfaU/s640/S__27779144.jpg)
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดสินค้าเชิงสร้างสรรค์ของโลกขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกปี ประเทศไทยเองได้นำแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) มาใช้ในกระบวนการพัฒนาประเทศ และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้ (Knowledge) การศึกษา (Education) การสร้างสรรค์งาน (Creativity) การใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) ที่เชื่อมโยงกับพื้นฐานทางวัฒนธรรม ตลอดจนการสั่งสมความรู้ของสังคมและเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาไทยมีการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์บนพื้นฐานของการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรม ประเพณีและภูมิปัญญา เข้ากับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเชื่อมโยงภาคการผลิตและการบริการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรม ดิจิทัลคอนเทนต์ อุตสาหกรรมออกแบบ และเครือข่ายวิสาหกิจ สินค้าหัตถกรรมพื้นบ้านเพื่อการส่งออก เป็นต้น ซึ่งประเทศไทยถือว่ามีความโดดเด่นในเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม และองค์ความรู้ภูมิปัญญาด้านงานศิลปหัตถกรรมที่สามารถนำมาต่อยอดในเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างกว้างขวาง จึงถือเป็นโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการงานหัตถศิลป์ของไทยที่จะปรับปรุงพัฒนาและนำเอาแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาเสริมสร้างเอกลักษณ์และความแปลกใหม่ให้กับสินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับด้านแรงงานทั้งในด้านทักษะฝีมือ และการมีคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้ผลิตซึ่งเป็นชาวบ้านและคนในชุมชน เป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ผลิต ชุมชน และผู้ประกอบการงานหัตถศิลป์อย่างยั่งยืน
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAOBfrTbgo5y-7vl7uF53vctH3frZTdTZBpb63rOiYrGP3awzxhe8g6-7Kv9otKcI3xwNR6lor49YgPg_NdgCdg013GZoJajn8QqBAwGAgVMc8mN0amvoNQ7SCeAZU4QSE7e6LcMA6OV0/s640/S__27779142.jpg)
“ผมคิดว่าไทยมีความพร้อมในทุกด้านที่จะนำเอาแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาพัฒนาโดยเฉพาะในวงการศิลปหัตถกรรมไทยให้กลายเป็น Creative Craft Economy ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากในปัจจุบันและในอนาคต เพราะประเทศไทยมีต้นทุนในแง่ของคุณค่าจากภูมิปัญญา วัตถุดิบ และแรงงานในชุมชน ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาต่อยอดผลงานหัตถศิลป์ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชิ้นงานได้สูงขึ้น ตลอดจนเป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้ซื้อมากยิ่งขึ้นอีกด้วย และในโอกาสที่ผมมาเปิดการประชุมสมาชิก SACICT Craft Network ครั้งที่ 4 (ภาคกลาง) ในวันที่ 16 มกราคม 2563 ณ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3GfMLYZzKAZ24LknBHjvyfwF5h6BMGZ86dgzKOn9V6grpOl8En-P4CnVbeJX_Acu2xxTOZ7NLf-iPucB_ly0UCCKcPhrzXUEIW5owi_P_g3aPZrl4hlUoo_i5SN89ADRJgBzak-GZdLY/s640/S__27779145.jpg)
ได้มอบหมายให้ SACICT ดำเนินงานและให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมและพัฒนาผู้ผลิตและผู้ประกอบการงานศิลปหัตถกรรมไทย กว่า 1,759 ราย ให้เกิดความเข้าใจในแนวคิดของ Creative Craft Economy และนำไปปรับประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมของตนเอง เพื่อให้เกิดการพัฒนาผสมผสานด้วยภูมิปัญญาดั้งเดิม และแนวคิดเชิงสร้างสรรค์ นำไปสู่การผลิตผลงานที่มีความร่วมสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคนี้ สามารถสร้างโอกาสทางการตลาดในเชิงพาณิชย์และเป็นการสร้างรายได้กลับสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน รวมถึงการให้ความรู้ด้านทรัพย์สินทางปัญญาแก่ผู้ประกอบการงานหัตถศิลป์ไทยทั่วประเทศ ซึ่งในอนาคตผมหวังว่าในวงการงานศิลปหัตถกรรมไทย จะนำแนวคิดดังกล่าวมาปรับใช้และต่อยอดผลงานภายใต้ Creative Craft Economy ต่อไป”
นอกจากนี้ ภายในงาน SACICT ยังได้จัดแสดงตัวอย่างผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์ที่มีการผสมผสานเทคนิคเชิงช่างต่างถิ่น พัฒนาออกมาเป็นชิ้นงานใหม่ สอดรับกับความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น ได้แก่ ผลงานการพัฒนาทักษะเชิงช่างและเทคนิคการประดับมุกบนเครื่องดิน และการมัดและย้อมสีธรรมชาติด้วยวัตถุดิบในท้องถิ่นภาคใต้ โดยการนำเส้นไหมและผ้าไหมกับน้ำย้อมจากวัตถุดิบที่ได้จากพืชพรรณธรรมชาติ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBlzJM9vaO38pM7MruULaaJrgJRZ_p8JW6en1fyIJciJGaI4LpoCmFG2vxhnvkaTLaf114g_YHUxMSqEu-rS8K5AnSQjnk5bNKMEqTjd7ezqhSMhyphenhyphenMd6Ub0eaupwuVPtKWc1di0lsMV1k/s640/S__27779146.jpg)