ADS


Breaking News

20 ต.ค. นี้ ต้องห้ามพลาด เสวนาดีๆ รู้ทันโรคตับ ไวรัสตับอักเสบบี ซี ไขมันตับ มะเร็งตับ “กัญชาหรือยาหมอ”

รพ.จุฬาฯ เตรียมจัดเสวนารู้ทันโรคตับ ไวรัสตับอักเสบบี ซี ไขมันตับ มะเร็งตับ “กัญชาหรือยาหมอ”
     โรคตับเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยประชาชนไทย เชื่อหรือไม่ คนไทยทุก ๆ สิบคน มีโรคตับอักเสบเรื้องรังแอบซ่อนอยู่อย่างน้อยหนึ่งคน โดยเจ้าของตับไม่มีโอกาสรู้ หากไม่ได้รับการตรวจที่เหมาะสม ทำให้เสียโอกาสในการป้องกันและรักษาตั้งแต่เริ่มต้น หากมีการให้ความรู้ที่ถูกต้องถึงความเสี่ยง ระยะเวลาการดำเนินของโรค การป้องกันการเฝ้าระวังและวิธีดูแลรักษา จะทำให้สามารถป้องกัน ลดภาวะความรุนแรงหรือรักษาโรคให้หายได้
     ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคตับ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เตรียมจัดงานเสวนารู้ทันโรคตับ ตอนไวรัสตับอักเสบบี ซี ไขมันตับ มะเร็งตับ “กัญชาหรือยาหมอ” ในวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562 เวลา 08.00-16.30 น ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย
     รศ.นพ.ดร.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคตับ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า “ ปกติแล้ว ศูนย์ฯ นอกจากให้การรักษาบริการด้านการแพทย์โรคตับแล้ว ยังมีนโยบายการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนเกี่ยวกับโรคตับ ในทุกปีจะมีการจัดงานเสวนาใหญ่เพื่อประชาสัมพันธ์ด้านโรคตับ และในแต่ละปีเราใช้คำว่า “งานเสวนารู้ทันโลกตับ” แต่ธีมส์ในการเสวนาจะเปลี่ยนไปในทุก ๆ ปี ระยะหลังจะจัดงานค่อนข้างใหญ่ขึ้น ที่หอประชุมใหญ่ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย เป็นที่เดียวกับที่นิสิตจะรับปริญญา จุคน 1500 คน ประชาชนที่เข้ามา ก็มาอย่างตั้งใจเพราะมีค่าใช้จ่ายในกาเข้าร่วมประชุมมากกว่า 1500 คน ต่อปีต่อครั้ง”
      และในปีนี้จัดงานขึ้น 20 ตุลาคม 8.00-16.00 น. โดยใช้ชื่อ เสวนารู้ทันโรคตับไวรัสตับอีกเสบบี ซี ไขมันพอกตับ มะเร็งตับ และยังมี “ กัญชาหรือยาหมอ “ เป็นไฮไลท์ของปีนี้ ...เมื่อรู้ทันโรคตับแล้ว จะเลือกกัญชาหรือยาหมอ เป็นจุดสำคัญ ศ.นพ. ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา เป็นวิทยากร

ความเข้าใจผิดอุปสรรคใหญ่ในการรักษา
     หัวหน้าศูนย์ฯ กล่าวต่อถึงกิจกรรมภายในงานว่า ตั้งแต่เช้าจะเน้นเรื่องของ โรคตับชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะ ไวรัสตับ บี ซี แอลกอฮอลล์ ไขมันพอกตับ ที่สำคัญกว่านั้นคือปัจจุบันการรักษาโรคเหล่านี้ เปลี่ยนแปลงไป ไวรัสซี สามารถรักษาได้หายขาดเกือบ 100 % และนโยบายของรัฐเอง คนทุกคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบซี สามารถเข้ารับการรักษาได้ ไวรัสบีเองก็มียาที่ดีมากร่วมยี่สิบปีแล้ว นอกจากนี้ยังจะมีการสร้างความเข้าใจในด้านไขมันฟอกตับ อีกประการหนึ่ง คนที่เป็นโรคตับนอกจากความเข้าใจผิดแล้ว อีกเรื่องหนึ่งคือกำลังใจ การดูแลตัวเอง กำลังใจที่จะกินยารักษา พลังใจที่จะลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร พลังใจที่เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นตับแข็งเป็นมะเร็งตับแล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร ทั้งที่โรคเหล่านี้หายขาดได้ แต่กำลังใจพังไปซะก่อนที่ตับจะพัง คำว่ากำลังใจนี้สำคัญ โดยจะมีผู้ป่วยโรคตับที่ได้รับการเปลี่ยนตับไปแล้ว จะดูแลตัวเองอย่างไร คนที่ตับแข็งไปแล้ว เขาปรับชีวิตไปเป็นนักกีฬามาราธอน ทำอย่างไรที่จะควบคุมอารมณ์จนโรคตับหายไป นอกจากนั้นภายในงาน ยังได้เชิญ คุณนวลพรรณ ล่ำซำ ท่านไม่ได้เป็นโรคตับแต่ถือว่าเป็นบุคคลที่สำคัญในหลาย ๆ ด้าน ที่สำคัญคือเป็นผู้นำเยาวชนในการออกกำลังกาย ความใส่ใจ ความสนใจในการออกกำลังกาย เล่นฟุตบอลต่าง ๆ ซึ่งเป็นจุดสำคัญว่าเราจะต้าน โรคไขมันพอกตับได้อย่างไร ในงานของการเสวนาเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
     รศ.นพ.ดร.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ กล่าวด้วยว่า หลังเสวนา ช่วงท้ายจะมี ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสตับอักเสบและเป็นผู้นำด้านการรักษาโรคคนหนึ่ง ท่านจะมาคุยโรคเราจะได้ยิน WHO ว่า ไวรัสสับอักเสบจะหมดไปใน 2030 อีกสิบปีข้างหน้าประเทศไทยจะจัดการไวรัสตับอักเสบได้หมดไปตามนโยบายขององค์การอนามัยโรคจริงหรือไม่ ซึ่งจะมีข้อมูลจากงานวิจัยมาให้ประชาชนได้รับทราบและวางแผนในการใช้ชีวิต หลายคนที่เข้ามาในการประชุมต้องการรู้มากว่า ตอนนี้ไวรัสซี มียาที่หายขาดหรือไม่ ไวรัสบีมียาที่รักษาให้ตับแข็งหายแข็งได้แล้ว ตับคนไข้นั้น เรารอจนกระทั่งตับหายแข็งไปเลยมี แต่ความเชื่อของคนไทยเป็นอุปสรรคต่อการรักษา เพราะฉะนั้นคนที่ต้องการจะรู้เกี่ยวกับการรักษาไวรัสที่ว่ามานี้ ต้องมาในงานนี้ ปัญหาคือคนที่เป็นโรคตับกว่าจะถึงระยะสุดท้ายต้องใช้เวลา 20-30 ปี โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่ามีโรคตับแอบแฝงอยู่ ในนี้ ( กลุ่มสื่อมวลชนที่สัมภาษณ์) ใน 10 คนไม่รู้เลยว่ามี คนที่เป็นโรคตับแอบแฝงอยู่ เพราะฉะนั้นคนที่จะเป็นตับแข็งอีกยี่สิบปีจึงจะรู้หากไม่ไปตรวจร่างกาย แต่โรคตับจะมาเหมือนกับตกเหวเลยทีเดียว ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมาเมื่อมีปัญหามากแล้ว ม้ามโต ท้องมาร อาเจียนเป็นเลือด ชีวิตจริงของจริง จะมีผู้ป่วยที่เป็นโรคตับมาแสดงจริงว่าเราจะทำอย่างไรกันบ้าง ที่จะหยุดโรคนั้น

มะเร็งตับรักษาได้

     หัวหน้าศูนย์ ฯ กล่าวต่อไปว่า “ชั่วโมงสุดท้ายมีการพูดถึงเรื่องมะเร็งตับว่าสามเดือนสุดท้ายเมื่อเป็นมะเร็งตับเตรียมตัวตาย แต่จริงๆ แล้วปัจจุบันเราสามารถตรวจจับมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะต้น ผ่าตัดได้ เปลี่ยนตับได้ หายขาดได้ แต่ถ้าใครที่ปล่อยตัวเองไปจนกระทั่งถึงเป็นมากแล้ว เรายังมีวิทยาการต่าง ๆ ที่จุฬาฯ เองสามารถจี้ด้วยความร้อน อุด ใช้ไมโครเวฟ ใช้แอลกอฮอลล์ ใช้รังสีทำลายมะเร็งหรือหยุดโรคมะเร็งได้ แต่ถ้ามะเร็งยังก้าวต่อไปเรายังมียาปัจจุบันที่ไปยับยั้งในเรื่องของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงตัวมะเร็ง ยับยั้งตัวมะเร็งเองไม่ให้โตขึ้น มีหลายชนิด มีคนใช้อยู่เยอะ ได้ผลประโยชน์จากยาเยอะ แต่ที่ไปไกลจากกว่านั้นคือเดี๋ยวนี้เราเปลี่ยนวิทยาการรักษาไปถึงขั้นเราไม่ได้รักษาด้วยเคมีบำบัด ไม่ได้รักษาด้วยยาหยุดมะเร็งเราใช้ภูมิต้านทานในการหยุดมะเร็ง ซึ่งก็เปลี่ยนไป เราได้ยินคำว่า เคมีบำบัด เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นยามุ่งเป้า การรักษายามุ่งเป้าจับในเซลล์มะเร็งโตไม่ได้ แต่ยุคนี้เปลี่ยนไปอีกไม่ได้ใช้ยามุ่งเป้าแล้ว แต่เป็นยาที่ไปกระตุ้นภูมิต้านทานของตนเองไปรู้จักว่ามะเร็งแอบอยู่ในร่างกายตรงไหน เรามีตัวอย่างมากมาย ใครสนใจในการรักษา มะเร็งตับในวิธีใหม่ๆ น่าจะเข้ามาฟัง

สถานการณ์การเป็นมะเร็งตับในคนไทย

     หัวหน้าศูนย์ ฯ เผยถึงสถานการณ์การเป็นมะเร็งตับในประเทศไทยว่า ต้องใช้คำว่า ครองโลกมนุษย์เป็นอันดับหนึ่งของมะเร็งทั้งปวง ในผู้ชายอันดับหนึ่งคือ มะเร็งตับ รองลงมาคือมะเร็งลำไส้ มะเร็งต่าง ๆ ผู้หญิงก็อาจจะมีมะเร็งเต้านม ปากมดลูก นำหน้าขึ้นมานิดหนึ่งแต่อันดับสามก็ยังคงเป็นมะเร็งตับ
     ทำไมเป็นมะเร็งตับ เพราะมะเร็งตับมองสองแบบ หนึ่งมะเร็งท่อน้ำดี เราเป็นเมืองหลวงของมะเร็งท่อน้ำดีของโลก อีสานบ้านเรามีผู้ป่วยเยอะมาก เป็นของคนยุคเจนเนอเรชั่นเก่า ที่กินปลาส้ม ปลาร้า ที่ก่อให้เกิดพยาธิใบไม้ทำให้ท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรังจนกระทั่งกลายเป็นมะเร็งท่อน้ำดี
     ปัจจุบันเริ่มลดลง เพราะประเทศพัฒนาขึ้น ส่วนมะเร็งที่ยังนำหน้าอยู่คือมะเร็งตับ โดยตรง ภาวะเสี่ยงที่ไปถึงตรงนั้น ไวรัสตับอักเสบบี ซี อัลกอฮอลล์ ไขมันพอกตับ จะเป็นเยอะมาก นอกจากนั้นเป็นโรคอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดเรื้อรัง เช่นโรคแพ้ภูมิตัวเอง ทำให้ตับเรื้อรังได้ กว่าคนเราจะตับแข็ง ติดเชื้อวันนี้ ดื่มเหล้าวันนี้ กว่าจะถึงขั้นตับแข็งใช้วเลาสิบถึงสามสิบปี เป็นโรคโดยไม่รู้ตัว เราจึงได้ข่าวว่า คนที่เป็นมะเร็งตับเพราะมะเร็งโตขึ้นจนเต็มตับแต่เจ้าตัวไม่รู้ หรือเป็นตับแข็งหรือตับวายมาแต่เจ้าตัวไม่รู้ ถ้าเรามองภาพว่า เด็กหรือผู้ใหญ่ต่ำกว่า 30 ปี จะหลุดจากภาวะนั้น แต่ถ้ามากกว่า 30 ปี ขึ้นไปต้องตรวจ

ปัญหาเรื่องโรคตับ

      เมื่อถามถึงการสังเกตุอาการก่อนจะเป็นโรคตับ หัวหน้าศูนย์ ฯ กล่าวว่า “ต้องเดินเข้าไปตรวจอย่างเดียว เช็คดูค่าการอักเสบของตับ บอกหมอได้เลยว่าขอเช็คไวรัสบี ไวรัสซี คัดกรอง เสียค่าใช้จ่ายหลักร้อยเท่านั้น อัลตราซาวน์ควรจะทำสักครั้งว่าจะมีก้อนอะไรอยู่ในตับหรือไม่ ควรรู้พื้นฐานก่อน ใครก็ตามที่มีญาติพี่น้องเป็นตับแข็ง ต้องตรวจ อาจเป็นพันธุกรรม ซึ่งรักษากันแต่เนิ่น ๆ ไวรัสซี เมื่อ 35 ปีที่แล้ว เราไม่รู้จัก ใครที่ได้รับเลือด ยุคนั้นสมัยที่เรายังเป็นนักเรียนในยุคนั้น คนทางเหนือตอนล่างที่พิษณุโลก หล่มสัก เพชรบูรณ์ น่าจะเป็นดงของไวรัสตับซี จะเป็นเพราะยุคสงคราม หมู่บ้านหนึ่งไปสำรวจ มีไวรัสซีซ่อนอยู่ถึง 16 คนใน 100 คน ทั่วประเทศไทย เฉลี่ย 2 %

ด้านความแตกต่างของไวรัสตับแต่ละตัว

     หัวหน้าศูนย์ ฯ กล่าวถึง อาการของไวรัสตับในแต่ละตัวว่า พอจะแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ด้วยกัน คือ

1. โรคตับอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อไวรัสตับอักเสบหลายชนิด เช่น เอ บี ซี ดี อี และเชื้อไวรัสตัวอื่น ๆ รวมทั้งยาหรือสารมีพิษต่าง ๆ ที่พบได้บ่อยคือ การทานยาทุกชนิด ทั้งแผนปัจจุบัน ยาไทย ยาสมุนไพร ยาจีน ยาต้มยาหม้อ วิตามิน อาหารเสริม ซึ่งในระยะหลัง ส่วนใหญ่ใช้โดยได้รับการโฆษณาชวนเชื่อผ่านทางสื่อออนไลน์ โรคตับอักเสบเฉียบพลันส่วนใหญ่มีอาการ รอจนเป็นผู้ป่วยอาจจะมีอาการของโรคตับคือ ตาเหลือง อ่อนเพลีย ส่วนมากแล้วหากอาการไม่รุนแรงจะหายเองในระยะ 6 เดือน

2.โรคตับอักเสบเรื้อรัง เป็นโรคตับจากสาเหตุต่าง ๆ ที่ไม่หายไปเองภายในเวลาหกเดือน ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการให้รู้ โรคตับจะเป็นต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม โรคจะดำเนินต่อไปจนเกิดภาวะตับแข็ง และค่อย ๆ เป็นมากขึ้นจนเริ่มมีอาการของภาวะตับวาย เช่น ขาบวม ท้องโต อาเจียนเป็นเลือด ซึมสับสน และ เสียชีวิตในที่สุด หรือมีมะเร็งตับแทรกซ้อน ส่วนใหญ่ในบ้านเราจะมีสาเหตที่สำคัญคือ เชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซี แอลกอฮอล์ และไขมันพอตับ ซึ่งมักจะเกิดในคนที่มีน้ำหนักเกิน อ้วน และเบาหวาน

3.เนื้องอกในตับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อที่ดี ไม่ใช่เนื้อร้ายไม่มีอันตราย เพียงขอให้แพทย์ได้พิสูจน์เพื่อความมั่นใจเสียก่อนเพื่อความสบายใจ ส่วนมะเร็งตับมีทั้งมะเร็งท่อน้ำดี และมะเร็งจากเนื้อตับ ในประเทศไทยมะเร็งจากเนื้อตับพบมากเป็นอันดับหนึ่งในมะเร็งทั้งหมด มักจะเกิดขึ้นผู้ป่วยที่มีโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็งจากสาเหตุข้างต้น

วิถีการกิน วิถีการเกิดโรค

     หัวหน้าศูนย์ฯ เผยถึงเรื่องที่น่าตกใจ และถือเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมไทย คือการกินยา “ เราเปลี่ยนไปทุก ๆ ปีตามความนิยม ยุคก่อนเป็นยุคโอท้อปก็เป็นกระชายดำ ยุคของการสารเพื่อรักษาเบาหวาน บอระเพ็ด มะรุม ซึ่งโฆษณากันเยอะมาก เป็นมะรุมแคปซูล เมื่อปีที่แล้วเป็นยุคเห็ดหลินจือผง สปอร์ทั้งหลาย เราเจอคนไข้ที่มาในสภาพตับอักเสบน้อยไปจนถึงเสียชีวิตเยอะในปีที่ผ่านมา เมื่อปีกว่าที่ผ่านมา จะเป็นยุคที่ไปกินโปรตีนสังเคราะห์หรือโปรตีนอาหารเสริมต่าง ๆ บอกยี่ห้อไม่ได้ แต่ก็มีบางยี่ห้อที่มีอันตราย ไปกินคอลลาเจน คอลลาเจนเฉย ๆ หรือที่ขายตรงก็มักจะผสมอะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเราจะเจอคนที่กินคอลลาเจนรักษาผิวมาด้วยตับอักเสบเยอะมาก ในยุคปีที่ผ่านมา ถั่งเช่าตัวมันเองอาจจะรักษานู่นนี่ แต่ก็มีคนที่ทานแล้วมีผลกระทบ เป็นสารที่ผสมกับถั่งเช่า คอลลาเจนตอนนี้มาแรงมาก ซึ่งไม่มีงานศึกษาวิจัยที่ชัดเจนว่าสามารถรักษาไวรัสตับได้

ส่วนของกัญชา

     ดูเหมือนจะกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความวิตกให้กับแพทย์ นั่นคือ การใช้กัญชาในการรักษา หัวหน้าศูนย์ ฯ เล่าว่า “ตอนนี้ปัญหาใหญ่คือคนไข้ในคลินิก 1000 คนมากกว่า 50 % รองใช้กัญชามาแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนไข้ไวรัสตับอักเสบก็คิดว่ากัญชาจะช่วยให้ไวรัสหายได้ ไขมันหายได้ มะเร็งตับ มากกว่า 80 % หยอดกัญชามาแล้วทั้งนั้น มีข้อมูลจากผมเองที่เห็นคนไข้ที่ไปได้รับกัญชาแล้วทรุดลง อาจจะไม่บริสุทธิ์ หรือคนที่ตับแข็งระยะสุดท้ายได้รับกัญชาไปแล้วไม่ตื่น เพราะวิธีการใช้ เพราะขนาด เพราะโดรส เขาไปนำกัญชานอกระบบมาใช้ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก แต่ว่า การเสวนานี้จะบอกว่า เมื่อคนไข้เลี่ยงไม่ได้ในการใช้กัญชา ก็ต้องใช้ให้เป็น

แนวทางการป้องกัน

     หัวหน้าศูนย์ฯ กล่าวว่า ผมมักจะสอนเสมอว่า วิธีการตรวจโรคตับหรือไปจนถึงระยะตับแข็งแล้ว จะไม่มีอาการบวม แต่ถ้าไปดูฝ่ามือ เขาจะมีอุ้งมือด้านใต้นิ้วโป้งกับนิ้วก้อยจะแดงกว่าตรงอื่น เรียกว่าฝ่ามือแดง เมื่อมาตรวจกับผม ฝ่ามือแดงผมบอกได้เลยว่าอีกสิบปีคุณเสียชีวิต หรือผื่นแมงมุมจะเห็นได้ตาม หน้าอก หลัง แขน คอ ไม่ได้อยู่ส่วนหน้าของร่างกาย จะมีขาเหมือนแมงมุมแดง ๆ ใครที่ดื่มอัลกอฮอลล์เยอะจะเห็นและก็จะบอกได้เลยว่าอีกสิบปีเสียชีวิตน่าจะมีตับแข็งอยู่ ใครเจอว่าตัวเองตัวเหลือง ให้ดูที่ตาขาวสีเหลือง ปัสสาวะสีเหลืองเข้มขึ้นเวลาเกิดตับอักเสบ ซึ่งที่ผมพูดมาทั้งหมด ตับอักเสบ ตับแข็ง ไปดูอย่างนั้นช้าไป มักไปถึงสุดท้ายแล้วค่อยโชว์ แต่คนที่กินคอลลาเจนตับอักเสบแบบเฉียบพลัน บางทีมาด้วยเหลือง สังเกตที่ตา ปัสสาวะ อาการเพลีย

เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือ ต้องตรวจสุขภาพ

     “...เราเป็นสถานที่อบรมแพทย์เฉพาะทางโรคตับ การบริการเราสอนนักเรียนเพื่ออกไปให้ความรู้และดูแลประชาชน แต่สำหรับประชาชนทั่วไป หาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของทางศูนย์ฯแต่ผมแนะนำว่า ใครที่รู้หรือสงสัยว่าจะเป็นให้ไปที่โรงพยาบาลใกล้บ้านก่อน เชื่อว่าหมออายุรแพทย์รุ่นใหม่จะสามารถคัดกรองโรคได้ เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะคัดกรองว่าคนไข้คนนั้นจะเข้าสู่ศูนย์ฯ ในภาคนั้น เมื่อภาคนั้นรักษาไม่ไหวก็จะมาที่ภาคกลางก็จะมีโรงเรียนแพทย์หลายๆ แห่ง ที่ศูนย์ ฯ ปัจจุบันแห่งนี้ มีเครื่องมือพิเศษ อัลตราซาวด์พิเศษที่อื่นอาจจะยังไม่มี เป็นวิทยาการที่ใหม่ มีเครื่องฉายรังสีเฉพาะจุด เราหมอผ่าตัดที่ชำนาญ มีทีมงานแพทย์ที่จะดูแล แต่ถ้ามาทั้งประเทศไม่ไหว แต่เราก็มีแพทย์ที่เราสอนทั้งยี่สิบรุ่น ได้กระจายไปตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เขาก็จะคัดกรองและส่งต่อ”  รศ.นพ.ดร.ปิยะวัฒน์
วิจารณญาณในการเสพสื่อออนไลน์

     การเสพข้อมูลของคนเราปัจจุบันเปลี่ยนไป ไม่ว่าตั้งแต่การรักษาตัวไปยันการเมือง เราเสพอะไรที่ผิดแล้ว เราจะเห็นว่าผิดตั้งแต่การเมืองยันไม่เมือง พอการไม่เมืองเสร็จโดยเฉพาะสาธารณสุข เฉพาะโรคตับเฉยๆ เยอะมาก เพราะคนปัจจุบันมีแนวโน้มไปสนใจเรื่องอาหารเสริมมากกว่า วิตามิน คอลลาเจน ถั่งเช่า การทานคลีน ซึ่งหลายๆ คนทานคลีนตับอาจจะหายไปเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นข้อมูลเหล่านี้บอกยาก ผมอยากให้ใช้วิจารณญาณ โดยปกติแล้ว ข้อมูลจากออนไลน์เมื่อมีการอัพข้อมูลแล้วจะตบท้ายว่า แหล่งที่มาของข้อมูลนั้นมาจากไหน ถือว่าสำคัญที่สุด ความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มา หรือหากประชาชนกลัวจริง ๆ หลังจากได้ยาหรือวิตามินนั้นไปสักสองอาทิตย์หรือหนึ่งเดือนมักจะเกิดไวรัสตับอักเสบ ก็ไปตรวจร่างกาย” หัวหน้าศูนย์ ฯ กล่าวในท้ายสุด
     สำหรับผู้ที่สนใจเข้าฟังการเสวนาในครั้งนี้จะรับจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คนเท่านั้น โดยสมัครลงทะเบียนผ่านทาง QR Code ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน – 11 ตุลาคม 2562 โดยเสียค่าสมัครคนละ 400 บาท พร้อมรับหนังสือ ของว่าง อาหารกลางวัน รายได้ทั้งหมดบริจาคเข้าสมทบทุนผู้ป่วยโรคตับ มูลนิธิคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือสอบถามข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2256-4691, 062-362-4348 โทรสาร 0-2256-4000 ต่อ 3467 ID Line:@liverunit e-mail : chulaliverunit@gmail.com