ADS


Breaking News

“SAAM” เปิดเทรดวันแรก 1.70 บาท พร้อมผงาดในเวทีโลก หนุนการเติบโตในอนาคต

เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์” เข้าซื้อขายวันแรกราคาเปิดที่ระดับ 1.70 บาท เดินหน้านำเงินที่ได้จากการระดมทุนต่อยอดพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในประเทศญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย พร้อมเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นของบริษัท เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAAM ที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 7 มกราคม 2562 เป็นวันแรก เปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.70 บาท
นายพดด้วง คงคามี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAAM ผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอิสระ เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนส่วนใหญ่เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ที่บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาในประเทศญี่ปุ่น และเข้าร่วมลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ส่วนที่เหลือจะใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมของสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยตั้งเป้าหมายมุ่งสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนธุรกิจในปี 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเติบโตจากปีก่อน โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาจนเป็นโครงการที่พร้อมในการก่อสร้างเพื่อส่งมอบให้แก่ลูกค้า ได้แก่ โครงการ SAAM Oita 01 Biomass Power และโครงการ SAAM Oita 02 Biomass Power ปริมาณกำลังการผลิตติดตั้งโครงการละ 19.9 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งเมื่อบริษัทฯ พัฒนาจนเป็นโครงการที่พร้อมในการก่อสร้างตามเงื่อนไขของสัญญา บริษัทฯ จะทำการโอนขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยให้แก่ลูกค้าและรับรู้รายได้ เพื่อให้ลูกค้าเข้าดำเนินการก่อสร้างและดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าภายใต้บริษัทย่อยดังกล่าวต่อไป นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อเข้าร่วมลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เช่น ธุรกิจจัดหาวัตถุดิบเชื้อเพลิง และธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวมวล เป็นต้น ซึ่งจะพิจารณาตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของกลุ่มบริษัทฯ
ในปี 2558-2560 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานเท่ากับ 30.8 ล้านบาท 72.5 ล้านบาท และ 71.9 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 52.8% โดยรายได้ในปี 2558 ส่วนใหญ่มาจากการให้บริการภายใต้สัญญาระยะยาวกับลูกค้า จำนวน 7 โครงการ ในขณะที่รายได้ในปี 2559 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเนื่องจากกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้เพิ่มจากการให้บริการตามสัญญาระยะยาว เพิ่มอีกจำนวน 10 โครงการ และรายได้จากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทย่อย ซึ่งเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ช่วงปลายเดือนธันวาคม 2558
ในปี 2558-2560 กลุ่มบริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 66.3% 73.0% และ 71.2% ตามลำดับ ในปี 2560 อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงเล็กน้อยจากการที่กลุ่มบริษัทฯ มีต้นทุนค่าบริการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการในต่างประเทศเพิ่มขึ้น กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 4.1 ล้านบาท 30.8 ล้านบาท และ 19.1 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 13.2% 41.8% และ 26.0% ตามลำดับ ในปี 2559 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการและขายไฟฟ้า รวมทั้งกลุ่มบริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจากการที่กลุ่มบริษัทฯ บริหารจัดการต้นทุนได้มีประสิทธิภาพขึ้น ในปี 2560 กำไรสุทธิลดลงจากปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิที่ลดลง โดยมีสาเหตุหลักมาจากกลุ่มบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นจากการว่าจ้างพนักงานและผู้บริหารเพื่อขยายธุรกิจ การรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงของสินทรัพย์เงินมัดจำค่าอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศของกลุ่มบริษัทฯ เป็นต้น
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานเท่ากับ 53.9 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการบริการและเช่า 41.2 ล้านบาท คิดเป็น 76.2% และรายได้จากการขายไฟฟ้า 12.7 ล้านบาท คิดเป็น 23.5% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 73.3% ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 13.6 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 25.2% สำหรับแนวโน้มในปี 2562 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะพยายามรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรให้ใกล้เคียงหรือมากกว่าระดับที่เคยทำได้ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา
“ในนามของบริษัทฯ มีความยินดี และขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความสนใจ และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบริษัทฯ ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนแบบนี้ตลอดไป และในฐานะผู้บริหารจะมุ่งมั่นทำงาน เพื่อให้ธุรกิจมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อนักลงทุนทุกท่านต่อไปในอนาคต” นายพดด้วง กล่าว
ด้านนายชาญชัย กงทองลักษณ์ กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ
บริษัท เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAAM เปิดเผยว่า ราคาหุ้น SAAM เปิดทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรกที่ 1.70 บาท เชื่อมั่นนักลงทุนมองเห็นโมเดลธุรกิจของบริษัทฯ มีความน่าสนใจ และมีโอกาสเติบโตจากแผนการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนส่วนใหญ่มาใช้ต่อยอดขยายธุรกิจพัฒนาโครงการในต่างประเทศ

“SAAM เป็นผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอิสระ หรือ Renewable Energy Project Developer บริษัทของคนไทยรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ มีจุดแข็งในด้านความต่อเนื่องของรายได้และอัตราการทำกำไรที่น่าสนใจ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีแผนในการขยายธุรกิจพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะสร้างการเติบโตในอนาคต การเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนจะช่วยสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจเพื่อสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้ในระยะยาว” นายชาญชัย กล่าว