Escape Room: 31 มกราคม ในโรงภาพยนตร์
ESCAPE ROOM กักห้อง เกมโหด ภาพยนตร์แอ็คชั่นทริลเลอร์จิตวิทยา เมื่อคนแปลกหน้าหกคนพบตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา และพวกเขาก็จะต้องใช้ไหวพริบเพื่อค้นหาเบาะแสและเอาตัวรอด
ไม่ใช่นั้น ชีวิตพวกเขาก็จะต้องจบลง ทุกๆปริศนา ทุกๆสัญลักษณ์คือกุญแจสำคัญในการรอดจากห้องท้าตาย
แต่เมื่อเวลาหมดลง มันก็หมายถึงความตาย เอาตัวให้รอดคือทางเลือกเดียว
โคลัมเบีย พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยออริจินอล ฟิล์ม ESCAPE ROOM นำแสดงโดยเทย์เลอร์ รัสเซล,
โลแกน มิลเลอร์, เด็บราห์ แอนน์ วูลฟ์, เจย์ เอลลิส, ไทเลอร์ ลาไบน์, นิค โดดานี ร่วมด้วยโยริค แวน วาเกนนินเกน กำกับโดยอดัม โรบิเทล
อำนวยการสร้างโดยนีล เอช. มอริทซ์และโอรี มาร์เมอร์
บทภาพยนตร์โดยบรากี ชูทและมาเรีย เมลนิค
ESCAPE ROOM กักห้อง เกมโหด
31 มกราคม ในโรงภาพยนตร์
ข้อมูลงานสร้าง
Escape Room เป็นทริลเลอร์จิตวิทยาเกี่ยวกับคนแปลกหน้าหกคน ที่พบตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขาและพวกเขาก็จะต้องใช้ไหวพริบเพื่อค้นหาเบาะแส ไม่ใช่นั้น ชีวิตพวกเขาก็จะต้องจบลง
โคลัมเบีย พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยออริจินอล ฟิล์ม Escape Room นำแสดงโดยเทย์เลอร์ รัสเซล, โลแกน มิลเลอร์, เด็บราห์ แอนน์ วูลฟ์, เจย์ เอลลิส, ไทเลอร์ ลาไบน์, นิค โดดานี ร่วมด้วยโยริค แวน วาเกนนินเกน กำกับโดยอดัม โรบิเทล อำนวยการสร้างโดยนีล เอช. มอริทซ์และโอรี มาร์เมอร์ บทภาพยนตร์โดยบรากี ชูทและมาเรีย เมลนิค เรื่องราวโดยบรากี ชูท ผู้ควบคุมงานสร้างคือรีเบ็กก้า ริโว ผู้กำกับภาพคือมาร์ค สไปเซอร์ ผู้ออกแบบงานสร้างคือเอ็ดเวิร์ด โธมัส มือลำดับภาพคือสตีเวน เมอร์โควิช, เอซีอี ดนตรีโดยไบรอัน ไทเลอร์และจอห์น แครีย์
เกี่ยวกับภาพยนตร์
คุณพบตัวเองอยู่ในห้องห้องหนึ่ง ไม่มีหน้าต่าง มีประตูแค่บานเดียว และมันก็ถูกปิดล็อคเอาไว้ คนบ้าที่ขังคุณไว้ได้ตั้งปริศนายากๆ ที่ชาญฉลาดอย่างร้ายกาจเอาไว้ ในแบบที่ถ้าไขปริศนาตามลำดับได้ถูกต้องล่ะก็ จะนำไปสู่กุญแจและหนทางรอดของคุณ สิ่งที่ทำให้เรื่องยากขึ้นไปอีกคือการที่เขาตั้งนาฬิกาจับเวลาเอาไว้ คุณมีเวลาหนึ่งชั่วโมงที่จะไขปริศนาและหนีออกมา...ไม่เช่นนั้น คุณก็จะพบกับผลลัพธ์สุดสยอง
สิ่งที่ฟังดูเหมือนภาพยนตร์สยองขวัญนี้เป็นหนึ่งในความบันเทิงที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก นั่นคือปรากฏการณ์ห้องปิดตาย ด้วยสติปัญญาเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียว และพละกำลังที่หลากหลายของคนที่อยู่ในห้องด้วยกันกับคุณ ผู้เล่นจะต้องถอดรหัส ตีความปริศนาและคลายปมที่ซ่อนอยู่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ละห้องจะมีแผนการลับซ่อนอยู่ โดยที่ผู้เล่นจะปะติดปะต่อเบาะแสต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อเป็นประสบการณ์การสร้างความสามัคคีที่สนุกสนาน นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของคอนเซ็ปต์นี้ในปี 2010 เกมห้องปิดตายได้ผุดขึ้นมาทั่วโลกอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความกระหายในความสนุกสนานและความต้องการหนีจากความจริงของมนุษย์
เมื่อผู้อำนวยการสร้างโอรี มาร์เมอร์ได้ทดลองเล่นเกมห้องปิดตายกับครอบครัวของเขา เขาก็มองเห็นศักยภาพในการสร้างภาพยนตร์ และเนื่องด้วยผู้ชมทั่วโลกได้ตอบรับคอนเซ็ปต์นี้ มันก็สามารถเป็นภาพยนตร์ที่มีธีมที่มีเสน่ห์ดึงดูดคนทั่วโลกได้ “ผมคิดว่ามันเป็นเหมือนเกมกระดานมีชีวิตที่ลุ้นระทึกและสนุกอย่างเหลือเชื่อเลย” เขากล่าว โปรเจ็กต์นี้ดูเหมือนจะเหมาะสมกับการจัดฉากปริศนาในห้องปิดตายสุดคลาสสิก และเขาก็ได้ร่วมมือกับผู้อำนวยการสร้างนีล เอช. มอริทซ์ ในการดูแลโปรเจ็กต์นี้ ภายในเวลาอันรวดเร็ว พวกเขาได้ลงมือยกระดับความเสี่ยง ด้วยการสร้างสุดยอดห้องปิดตายขึ้นมา มันเป็นห้องที่ไม่เพียงแต่ดูดีและอันตรายอย่างเหลือเชื่อเท่านั้น แต่เมื่อเวลาหมดลง มันก็หมายถึงความตาย
“คุณจะต้องใช้สมองของคุณตอนที่คุณอยู่ในห้องพวกนี้เพราะคนที่สร้างห้องต้องการให้เราตายทีละคน” เจย์ เอลลิส นักแสดงหนุ่มกล่าว “คุณต้องพยายามหาคำตอบอยู่เสมอว่าอะไรผิดปกติ คุณจะก้าวเท้าไปที่ไหนได้หรือไม่ได้ และอะไรคือทางออกจริงๆ หรืออะไรที่จะเป็นเพียงแค่สิ่งที่ทำให้ไขว้เขว”
อดัม โรบิเทล ผู้ที่ก่อนหน้านี้เคยกำกับภาพยนตร์สยองขวัญยอดนิยมระดับโลก Insidious: The Last Key ถูกนำตัวมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ “ห้องปิดตายที่ดีจะเหมาะกับงานหนังครับ คุณเข้าไปในหลุมหลบภัยจากช่วงสงครามเย็น คุณพลิกดูเอกสารของซีไอเอ พอคุณกดปุ่ม ทันใดนั้น เครื่องฉายภาพที่ซ่อนอยู่ก็จะเปิดขึ้นมาพร้อมกับแสงสีฟ้า และคุณก็จะเห็นแผนที่” โรบิเทลกล่าวเสริม “ห้องพวกนี้มีการกำกับศิลป์อย่างดีจนผมมองเห็นศักยภาพในการสร้างหนังที่มีเสน่ห์ทางภาพวิชวลมากๆ ครับ”
มาร์เมอร์กล่าวว่า ทีมผู้สร้างมองเห็นแนวทางในการสร้างภาพยนตร์ที่เล่นกับขนบของภาพยนตร์แนวนี้ นั่นคือการสร้างภาพยนตร์ที่ถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบของทริลเลอร์จิตวิทยาและภาพยนตร์สยองขวัญ “มันเป็นโอกาสได้ทำอะไรสนุกๆ นี่เป็นแนวหนังที่ทุกอย่างมักจะเกิดขึ้นตอนกลางคืน และภาพก็ไม่ค่อยจะดึงดูดซักเท่าไหร่ เพราะมันอาศัยจินตนาการของคุณมากกว่า” เขากล่าว “เราใช้อีกวิธีหนึ่ง หนังเรื่องนี้มีฉากที่เหลือเชื่อ ที่มีภาพสะดุดตาและประสบการณ์ของเรื่องราวที่เหมือนกับการได้เล่นเกมห้องปิดตายจริงๆ ในชีวิตจริง ผู้ชมจะรู้สึกเหมือนพวกเขาอยู่ในหนังและหาคำตอบปริศนาและคำทายไปพร้อมๆ กับนักแสดงของเราครับ”
เกี่ยวกับตัวละคร
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ตัวละครทั้งหมดนี้ต่างเลือกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ห้องปิดตาย และพวกเขาก็จะค้นพบว่า มีปริศนาที่เชื่อมโยงพวกเขาทุกคนเข้าหากัน “พวกเขาทุกคนเลือกที่จะอยู่ตรงนั้น พวกเขาไม่ได้ถูกลักพาตัวหรือถูกบังคับไปที่นั่น” มาร์เมอร์ตั้งข้อสังเกต ถึงกระนั้น พวกเขาก็ได้เจอสิ่งที่เกินกว่าที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้ “พวกเขาไปที่นั่นด้วยความคาดหวังว่าจะเจอสิ่งหนึ่ง แต่มันกลับกลายเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงครับ”
และระหว่างที่พวกเขาไขปริศนาและเงื่อนงำของแต่ละห้อง พวกเขาก็เริ่มมองเห็นว่า มีปริศนาที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นให้ต้องไข นั่นคือทำไมพวกเขาถึงเลือกที่จะอยู่ที่นั่น ปรากฏว่าพวกเขาทุกคนมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน “ไอเดียของการที่คนแปลกหน้าถูกนำมารวมกันด้วยเหตุผลลึกลับบางอย่าง ถูกเหวี่ยงเข้ามาในสภาพแวดล้อมนี้ และต้องร่วมมือกัน เป็นไอเดียที่มีเสน่ห์จริงๆ ครับ” โรบิเทลกล่าว
ด้วยความที่ตัวละครแต่ละตัวมีเรื่องราวความเป็นมาที่เป็นอิสระจากกันและไม่เชื่อมโยงกัน เป้าหมายในการคัดเลือกนักแสดงของทีมผู้สร้างคือการหากลุ่มนักแสดงที่มีความหลากหลาย “เราต้องการจะรวบรวมคนที่มีความกระตือรือร้น มีบุคลิกหลากหลาย และมีรูปร่างลักษณะ พื้นเพและมุมมองที่แตกต่างกัน” ผู้ควบคุมงานสร้างรีเบ็กก้า ริโวกล่าว
คนแรกคือโซอี้ ที่รับบทโดยเทย์เลอร์ รัสเซล โซอี้ นักเรียนวิทยาศาสตร์ เป็นคนรักสันโดษขี้อาย ผู้ชอบใช้ความคิด เธอรอดชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกที่ทำให้แม่เธอเสียชีวิต รัสเซล ที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากผลงานของเธอในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง “Lost in Space” และซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง “Strange Empire” และ “Falling Skies” รู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสที่ได้ร่วมงานโปรเจ็กต์นี้ “โซอี้ฉลาดมากๆ และเป็นคนวิตกจริตค่ะ เธอพยายามใช้ชีวิตตามลำพังให้ได้” รัสเซลกล่าว “อดัมเป็นคนที่ชื่นชอบหนังสยองขวัญ นี่เป็นแนวทางของเขา และเขาก็เชี่ยวชาญเรื่องนี้จริงๆ เขาได้ใส่ความทุ่มเทซึ่งเห็นได้ชัดว่ามาจากความรักนั้นเข้าไปมากมาย และมันก็เป็นเรื่องดีที่ได้เห็นค่ะ”
“สิ่งสำคัญคือโซอี้จะต้องมีความเปราะบาง แต่ก็สามารถลุกขึ้นสู้ได้” โรบิเทลกล่าว “เทย์เลอร์ รัสเซลเข้ามาสวมบทนี้ได้อย่างเหมาะเจาะ เธอมีทุกอย่างที่ผมต้องการ เธอสามารถถ่ายทอดความไร้พลังออกมได้ แต่ก็แสดงให้เห็นด้วยว่าตัวละครตัวนี้ฉลาดอย่างเหลือเชื่อด้วยครับ”
เบน (โลแกน มิลเลอร์) เป็นเด็กหนุ่มผู้หลงทาง ผู้ใช้ชีวิตในโหมดทำลายตัวเองเพื่อปิดกั้นความทุกข์ใจจากการเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากอุบัติเหตุรถยนต์สุดสะพรึง
“เบนเป็นตัวละครที่ค่อนข้างจะธรรมดาครับ” มิลเลอร์กล่าว “เขาต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายในชีวิต และตอนนี้ เขาก็เจอปัญหามากมายในการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อนของเขาตายไปแล้ว เขาไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว ผมเลยคิดว่า มันทำให้เขามีทัศนคติแบบ ‘ช่างโลกแม่ง’ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษจำเป็นในตอนที่เขารับมือกับความทุกข์ของตัวเองน่ะครับ”
ในการเตรียมตัวสำหรับการใช้ทักษะทางกายในบทนี้ มิลเลอร์กล่าวว่าเขาได้ฝึกฝนนานหกเดือน ทั้งๆ ที่จริงไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นก็ได้ “ครูฝึกของผมและผมกระโดดลงจากหลังคา วิ่งไปมา วิ่งไล่ตามรถ ขึ้นรถถัง ต่อยกัน แสดงท่ากังฟู...หุ่นผมฟิตเต็มที่ แล้วทีมผู้สร้างก็บอกว่า ‘นี่โลแกน เราจะต้องลดหุ่นคุณลงบ้างนะ เพราะคุณรับบทเป็นคนหมดไฟนี่’ ผมก็เลยเลิกออกกำลังกายและตัดสินใจไปเที่ยวในเคปทาวน์แทนครับ”
อแมนดา (เด็บราห์ แอนน์ วอลล์) เป็นทหารราบหญิงผู้ได้รับบาดเจ็บระหว่างออกรบจากแรงระเบิดแสวงเครื่องและตอนนี้ เธอก็ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความทุกข์ทน
ในการรับบททหารผ่านศึก การค้นคว้าข้อมูลของวอลล์รวมถึงการเปิดดูกระดานกระทู้ต่างๆ และคุยเกี่ยวกับการรับมือกับอาการภาวะจิตใจผิดปกติจากเหตุการณ์รุนแรงและความรู้สึกผิดที่เป็นผู้รอดชีวิต “มันเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับฉันจริงๆ ค่ะ” เธอกล่าว
โรบิเทลกล่าวว่า ผลที่หลงเหลืออยู่ของประสบการณ์ของอแมนดาคือสิ่งที่ตัวละครทุกคนต้องเผชิญ “จากการค้นคว้าข้อมูลของผม หลายครั้ง ผู้รอดชีวิตที่มีอาการผิดปกติทางจิตใจจากเหตุการณ์รุนแรงไม่สามารถก้าวผ่านเหตุการณ์นั้นไปได้” ผู้กำกับกล่าว “พวกเขาจะเห็นภาพนั้นซ้ำๆ และมันก็จะส่งผลกระทบต่อชีวิตพวกเขา สำหรับตัวละครของเรา ในการทำให้พวกเขาผ่านเปลวเพลิง พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นครับ”
วอลล์ ผู้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของปริศนาและครอสเวิร์ด และเป็นผู้เล่นเกม Dungeons & Dragons มาเนิ่นนาน กล่าวว่าเธอเองก็สนใจความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงสองคนในกลุ่มเช่นกัน “ฉันคิดว่าหนังกระแสหลักหลายเรื่องจับผู้หญิงมาปะทะกัน ให้พวกเธอประชันขันแข่งกัน โดยเฉพาะเรื่องผู้ชาย ฉันชอบที่นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงที่เป็นมิตรกัน ผู้พบความเข้มแข็งในกันและกัน และเป็นคนที่มีความโดดเด่นแตกต่างกันค่ะ”
เจสัน (เจย์ เอลลิส) เป็นผู้บริหารการเงินที่หลงตัวเอง ช่างประชันขันแข่งและมีเสน่ห์ เขาใช้สิ่งสวยๆ งามๆ ในชีวิตเพื่อปิดกั้นอดีตของตัวเอง
เอลลิสกล่าวว่า ตัวละครของเขาเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้กำลังมาแรงด้านการเงิน เขาใช้ชีวิตอย่างหรูหรา เป็นคนที่คุณไม่ควรข้องแวะด้วย “คุณสามารถมองเขาว่าเป็นเหมือนคริสเตียน เบลใน American Psycho, ปาชิโนในบทผู้ชายที่ ‘มักไล่ตามเสมอ’ ใน Glengarry Glen Ross หรือตัวละครของเบน เอฟเฟล็คใน Boiler Room ก็ได้ครับ”
ไมค์ (ไทเลอร์ ลาไบน์) เป็นคนขับรถบรรทุกชนชั้นแรงงานธรรมดาๆ คนหนึ่งจากเวสต์ เวอร์จิเนีย เป็นคนที่อายุมากที่สุดในกลุ่ม ด้วยความที่เขาเป็นอดีตคนงานเหมือง คุณอาจคิดว่าเขาจะเคยชินกับพื้นที่คับแคบ แต่กลับกลายเป็นว่า ก็ไม่มากเท่าไหร่
ในการเตรียมพร้อมสำหรับบทนี้และเรื่องทุกข์ทนต่างๆ ที่ตัวละครของเขาจะเผชิญในแต่ละห้อง ลาไบน์ได้สำรวจโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อหา “บันทึกชีวิตจริงของคนที่เคยผ่านสิ่งที่เราต้องเสแสร้งว่าต้องประสบในหนังเรื่องนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณมีภาวะตัวเย็นเกิน สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณถูกไฟช็อต และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณต้องเจอกับความร้อนสูงน่ะครับ”
แดนนี (นิค โดดานี) เป็นกีคไซเบอร์หนุ่ม ผู้ชื่นชอบเรื่องการหนีจากห้องปิดตาย ทีมนี้จะต้องอาศัยทักษะและความชำนาญทุกอย่างของเขาเพื่อเอาชีวิตรอด
โดดานีกล่าวว่า ตัวละครของเขาแทงใจดำเขามาก “ผมมีประสบการณ์ส่วนตัวมากมายที่จะดึงมาใช้ได้ ผมลากเพื่อนหลายคนของผมไปห้องหิดตาย และระหว่างโปรเจ็กต์ล่าสุดที่ผมแสดง ผมก็ได้พานักแสดงทุกคนไปที่ห้องปิดตายเพื่อสานความสัมพันธ์กัน ตั้งแต่นาทีแรกที่ผมได้อ่านบท ผมก็รู้ว่าตัวละครตัวนี้เป็นใคร ผมคือเขา ผมนับห้องปิดตายที่ผมเคยผ่านมาไม่หวาดไม่ไหวเลยครับ น่าเศร้าที่ผมไม่เคยชนะได้เลยซักครั้ง แต่ซักวัน ผมต้องชนะแน่”
นักแสดงผู้คร่ำหวอดในวงการ โยริค แวน วาเกนนินเกน ร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ ในบท วูทาน ยู “ผู้ควบคุมเกม” ผู้ทำงานให้กับเมซ คอร์ปอเรชัน บริษัทวายร้าย “เขาเป็นผู้ควบคุมเกมที่ควบคุมทุกอย่าง” แวน วาเกนนินเกนกล่าว “เขาควบคุมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องทุกห้อง เขาเป็นตัวกลางระหว่างคนที่เฝ้ามองเหตุการณ์และเขาก็จะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเมื่อทุกอย่างผิดพลาด”
“ผมไม่อยากให้ตัวละครตัวนี้เป็นวายร้ายหนวดกระดิกตามแบบฉบับมากเกินไปครับ” โรบิเทลกล่าว “โยริคพูดบทพูดของเขาได้อย่างสง่างามและง่ายดาย มันน่าขนลุกแต่ก็ไม่เกินเลยครับ”
เกี่ยวกับห้อง
ในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ของผู้ควบคุมเกม โรบิเทลได้ร่วมมือกับผู้ออกแบบงานสร้าง เอ็ดเวิร์ด โธมัสและหัวหน้าแผนกอื่นๆ ของเขา แม้ว่าซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ แม็กซ์ พูลแมนจะกล่าวว่า พวกเขามีปฏิกิริยาแรกเหมือนๆ กันตอนที่อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งก็คือ “เราจะทำมันได้ยังไงล่ะเนี่ย” แต่ก็เช่นเดียวกับความท้าทายอื่นๆ ทางแก้ปัญหาเริ่มปรากฏออกมา
“แต่ละห้องต้องใช้การสนับสนุนจากทุกคนตั้งแต่เริ่มแรก และเราก็ทำบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษในการเตรียมงานสำหรับหนังเรื่องนี้” ผู้ควบคุมงานสร้างรีเบ็กก้า ริโวกล่าว “ในการประชุมกันหลายๆ ครั้ง ก่อนที่จะมีการออกแบบฉาก เราได้นำผู้กำกับ ผู้กำกับภาพ ผู้ออกแบบงานสร้าง ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์และฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์มาวิเคราะห์บทและออกแบบงานสร้างในรูปแบบกลุ่ม”
พูลแมนกล่าวว่า “แต่ละแผนกมีปริศนาของตัวเองให้ใส่ลงไปในเรื่องราวเพื่อให้มันใช้การได้อย่างแนบเนียน ดังนั้น ก่อนที่เราจะเริ่มสร้างอะไรเป็นรูปเป็นร่าง เราก็นำเสนอแบบโมเดล 3D ของเราให้อดัม, เอ็ดในแผนกออกแบบงานสร้าง, ผู้กำกับภาพ มาร์ค สไปเซอร์และแกรนท์ ฮัลลีย์ แผนกสตันท์”
ฉากเองก็กลายเป็นตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน โธมัสกล่าวว่า “ทุกห้องเกิดมาจากตัวละคร ซึ่งแต่ละคนต่างมีเรื่องราวเบื้องหลังของตัวเอง และแต่ละห้องก็มีทีเด็ดของตัวเอง” เขากล่าว “ยกตัวอย่างเช่น ห้องบิลเลียดเป็นห้องของอแมนดา ห้องของแดนนีคือห้องน้ำแข็ง ส่วนห้องของไมค์คือห้องกระเบื้อง นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมสนใจโปรเจ็กต์นี้ โอกาสในการได้ออกแบบหนังที่ฉากแต่ละฉากมีลักษณะโดดเด่น และเกือบจะเป็นผู้ร้ายในหนังน่ะครับ”
“งานฝีมือที่ถูกใช้ไปกับการสร้างฉากพวกนี้ยอดเยี่ยมมากจนตอนที่เราเดินเข้าไป พวกเราทุกคน รวมถึงทีมงานด้วย ต่างก็ตะลึงงัน” เทย์เลอร์ รัสเซลกล่าว “ในฐานะนักแสดง เราใช้ชีวิตอยู่ในห้องพวกนี้นานมาก คุณก็เลยจะคุ้นเคยกับพื้นที่และองค์ประกอบในนั้นเป็นอย่างดี พวกมันเหมือนกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ เลยล่ะครับ”
โรบิเทลกล่าวเสริมว่า “ผมคิดถึงหนังเรื่องอื่นที่ฉากมีความสำคัญขนาดนี้ไม่ออกเลย ไอเดียคือแต่ละห้องจะกลายเป็นหนังเรื่องใหม่ในตัวของมันเองครับ”
“หนังเรื่องก่อนๆ ของอดัมบางเรื่องน่ากลัวมากๆ และเขาก็ถนัดด้านการสร้างความรู้สึกอึดอัด น่าหวั่นสะพรึงในห้องพวกนี้ด้วย” โธมัสกล่าว “หนังเรื่องนี้สลับซับซ้อนเพราะการค้นคว้าข้อมูลกลายเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสำรวจตัวฉากเอง ห้องบิลเลียดได้เค้าโครงจากห้องพูลในยุค 1950s ส่วนห้องผู้ควบคุมเกมก็คือห้องสมุดยุควิคตอเรียน ห้องหนึ่งพยายามจะบดขยี้คุณ ห้องหนึ่งพยายามจะเผาคุณ ห้องหนึ่งพยายามทำให้คุณจมน้ำ ห้องพวกนี้ก็เหมือนกับการเดินทางนั่นแหละครับ เราออกแบบฉากพวกนี้ในแบบที่ห้องอาจจะสังหารผู้เข้าแข่งขันได้ และเราก็ตอกย้ำประเด็นที่ว่าห้องพวกนี้สามารถมีชีวิตขึ้นมาได้จริงๆ น่ะครับ”
การเดินทางของตัวละครเริ่มต้นในห้องนั่งรอ ด้วยความเชื่อในตอนแรกที่ว่าพวกเขาจะเข้าร่วมเกมที่ปราศจากพิษภัย คนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งที่มีอะไรบางอย่างเหมือนกันได้พบกันครั้งแรกที่นั่น โดยไม่รู้ว่าในการเข้าห้องนั้น พวกเขาก็ได้ร่วมเกมนี้เรียบร้อยแล้ว
โรบิเทลไม่เพียงแต่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ออกแบบงานสร้าง เอ็ดเวิร์ด โธมัสเท่านั้นแต่เขายังร่วมงานกับผู้กำกับภาพมาร์ค สไปเซอร์ เพื่อเร่งความร้อนให้กับผู้ชมตั้งแต่เริ่มแรก “มันเริ่มต้นจากภาพสลัวๆ และมันก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมาจนแผงบนเพดานสว่างขึ้น เสาสว่างขึ้น ตะแกรงหน้าสว่างขึ้น หน้าต่างปิดลง จากนั้น พัดลมก็เปิดขึ้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงต่อหน้าต่อตาผู้ชมภายในเวลากว่าเจ็ดนาทีครับ” เขากล่าว “มันส่งตัวละครและผู้ชมให้เข้าสู่สภาวะร้อนระอุในทันทีครับ”
หลังจากที่ห้องนั่งรอถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง พวกเขาก็คลานไปตามท่อระบายอากาศ ทะลุเตาผิง มาสู่เคบินแสนสุขที่อบอุ่น “มันเป็นวิธีการของผู้ควบคุมเกมในการล่อลวงให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยอย่างผิดๆ ก่อนที่พวกเขาจะก้าวออกไปสู่ห้องน้ำแข็ง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นห้องน้ำแข็งเพชฌฆาตครับ” โธมัสกล่าว
ห้องน้ำแข็ง ซึ่งถูกออกแบบให้มีลุคและให้ความรู้สึกเหมือนกล่องตู้เย็น กลายเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับทีมงานทุกคน ตั้งแต่นักแสดง ทีมผู้สร้างไปจนถึงทีมงานถ่ายทำ
“จากเคบินอุ่นๆ ตอนนี้ทั้งกลุ่มก็ก้าวออกมาสู่ขั้วโลกเหนือ และพวกเขาก็อยู่บนน้ำแข็ง ทางมันขรุขระและเต็มไปด้วยหมอก คุณมองข้างหน้าไกลๆ ไม่เห็นเลย และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็เริ่มเกิดขึ้น น้ำแข็งเริ่มแตกครับ” โธมัสกล่าว
สำหรับโธมัส ฉากนี้ต้องอาศัยการสร้างฉากขนาดใหญ่ ที่มีความสูงเกือบ 10 เมตรและทำจากแผงความเย็น “ผมอยากให้มันดูเหมือนกับว่าเมซ คอร์ปอเรชันได้สร้างตู้เย็นเพื่อรักษาความเย็นให้กับห้องห้องนี้” โธมัสกล่าว “แล้วมาร์ค สไปเซอร์ก็มีไอเดียวิเศษสุดในการให้แสงฉากนี้จากด้านบน แบบเดียวกับแสงไฟในตู้เย็น มันเป็นการให้แสงหมอกและทำให้มันหนาทึบจริงๆ ซึ่งฉลาดมากๆ ครับ”
แน่นอนว่าบรรดานักแสดงไม่ได้ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะมีอาการภาวะตัวเย็นเกินระหว่างการถ่ายทำ แต่พวกเขาต้องดูเหมือนว่ามีอาการดังกล่าว ก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มขึ้น โรบิเทลได้ไปดำน้ำกับฉลามขาวยักษ์ในน้ำเย็นยะเยือกเพื่อรับรู้ถึงปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่ออุณหภูมิเยือกแข็ง “ตอนที่คุณเกิดภาวะตัวเย็นเกิน ร่างกายคุณจะเริ่มส่งถ่ายความร้อนออกมา ตัวคุณจะกระตุก แล้วคุณจะเริ่มเกร็ง” เขากล่าว “ทีมนักแสดงจะต้องแสดงปฏิกิริยาทางกายออกมาครับ”
พวกเขาได้รับความช่วยเหลือเล็กๆ “เราอยู่ในตู้แช่แข็งขนาดใหญ่อย่างน้อยๆ ก็สองชั่วโมง อุณหภูมิลดลงเร็วมากและอากาศเย็นก็พุ่งมาใส่เรา” เอลลิสเล่า
สำหรับพื้นน้ำแข็ง ทีมผู้สร้างอาศัยเวทมนตร์ภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่ง “ทีมงานทุกคนจะต้องเดินบนฉากนั้น ดังนั้น มันจะลื่นไม่ได้ แต่มันจะต้องดูเหมือนลื่น ซึ่งหมายความว่าเราต้องฝึกนักแสดงให้เคลื่อนไหวเหมือนกับพวกเขาอยู่บนน้ำแข็งจริงๆ” ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ แกรนท์ ฮัลลีย์กล่าว
“พื้นถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ การเดินบนนั้นจริงๆ แล้วก็เลยเป็นเรื่องง่ายมากๆ” โดดานีกล่าว “เพื่อให้ได้ลักษณะของพื้นลื่นๆ มากขึ้น พวกเขาได้ติดหนังเทียมชุบน้ำมันไว้ที่ส้นรองเท้าของเราเพื่อให้เราเดินแล้วลื่น การเดินแบบลื่นๆ บนพื้นท่ามกลางหมอกหนาเป็นเรื่องท้าทาย แต่มันก็สมจริงเหลือเกิน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบที่ราบสูง ต้นสนขนาดใหญ่พวกนั้นเป็นของจริงครับ คุณจะได้กลิ่นสนเลย” ในการสร้างความสมจริงแบบนั้น โธมัสและทีมงานได้จัดหาต้นสนจริงๆ จากไร่องุ่นที่ปลูกไวน์ ใกล้ๆ กับเคปทาวน์มา
ท้ายที่สุดแล้ว พื้นน้ำแข็งนั้นก็ต้องปริและแตกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งงานนั้นตกเป็นของซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ แม็กซ์ พูลแมน “การได้โจนาธาน บาร์ราสมาอยู่ในทีมของผมทำให้งานง่ายขึ้นเยอะครับ เขาทำงานใน ‘Harry Potter’ และ ‘Game of Thrones’ มาหลายปีแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำแข็งครับ” พูลแมนกล่าว พูลแมนและทีมงานของเขาได้สร้างพื้นเรซินขนาด 330 ตารางนิ้วที่ถูกแผนกศิลปะตกแต่งด้วยหิมะขึ้นมา
จากห้องน้ำแข็ง คนทั้งกลุ่มก็พบตัวเองอยู่ในห้องบิลเลียด โลเกชันแบบปาล์มสปริงส์ยุค 50s ผู้ควบคุมเกมได้กลับหัวห้องห้องนี้ และจับพวกเขายืนอยู่บนเพดานพร้อมกับโต๊ะ เก้าอี้ บาร์และห้องพูล พื้นห้องค่อยๆ ร่วงลงไปทีละแผ่นๆ เผยให้เห็นช่องลิฟท์สูงชัน 15 ชั้น ทางออกเดียวสำหรับพวกเขาคือการปีนขึ้นไปด้วยการเกาะสิ่งยึดเหนี่ยวต่างๆ
ห้องนี้เองที่ต้องอาศัยจำนวนวันถ่ายทำมากที่สุด “รายละเอียดที่ทีมก่อสร้างและแผนกศิลป์ของเราใส่ลงไปในการทำให้ห้องนี้กลับหัวมันมากมายเหลือเกิน” เอลลิสกล่าว “จนถึงพวกแก้ว ตู้เพลง กีตาร์ ทุกอย่างบนผนัง ทั้งหมดกลับหัวหมด”
“ไม่เพียงแต่มันจะเป็นเรื่องท้าทายด้านการจัดวางแล้ว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมีนักแสดงยืนอยู่เหนือพื้นสามฟุตขึ้นไป คุณก็ต้องมีสายรัดตัวพวกเขาไว้ ดังนั้น มันก็เลยต้องมีการลบภาพลวดสลิงออกและมีการปรับภาพด้วย CG ในทันทีครับ” โรบิเทลอธิบาย
ห้องหลังจากนั้นคือห้องกระเบื้อง พูลแมนกล่าวว่า เป้าหมาย “คือการออกแบบฉากที่สามารถหมุนได้ในพื้นที่แคบๆ เราได้ดัดแปลงห้องเอเมส ซึ่งคือห้องประหลาดที่สเกลจะเปลี่ยนเมื่อคุณเดินเข้าไป ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีตัวควบคุมความเร็วอยู่ด้านล่างฉาก มันเป็นภาพที่แปลกตั้งแต่เริ่มแรก จากเฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงผนังและพื้น การตกแต่งห้องนี้ทั้งหมดเป็นลายนิ้วมือสีขาวดำ แสงส่วนใหญ่มาจากหลอดไฟด้านบนที่หมุนโดยรอบ ซึ่งถูกวางให้ตั้งฉาก ในขณะที่พื้นก็จะหมุนในลักษณะทวนเข็มนาฬิกา”
ในห้องพยาบาล โรบิเทลกล่าวว่า “เราได้เผยให้เห็นว่าเมซ คอร์ปอเรชันค้นคว้าข้อมูลคนพวกนี้มากแค่ไหน ห้องนี้ให้ความรู้สึกทางจิตวิทยามากขึ้น ส่วนของตัวละครแต่ละคนในวอร์ดนี้ถูกออกแบบเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ เรามีชุดเครื่องแบบของอแมนดาที่ถูกไฟไหม้และขาดวิ่น มีภาพวาดเรือที่แปลกประหลาดและแอ็บสแทร็คของเจสัน มีรายงานคาร์บอนมอนน็อกไซด์ของแดนนีและมีข้าวของจากเวียดนามของโซอี้ แต่ละห้องถูกดัดแปลงสำหรับเรื่องราวความเป็นมาของพวกเขา พวกเขาตระหนักว่ามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้พวกเขาทุกคนถูกนำตัวมาที่นี่น่ะครับ”
เกี่ยวกับงานสตันท์
ในการเตรียมพร้อมสำหรับงานสตันท์มากมาย นักแสดงต้องเข้าค่ายฝึกของผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ แกรนท์ ฮัลลีย์ ระหว่างการเตรียมงานสร้าง เนื่องด้วยยังไม่มีการสร้างฉากขึ้นมา แผนกศิลป์จึงได้สร้างรูปทรงพื้นฐานและอุปกรณ์ประกอบฉากที่นักแสดงจะต้องปีนป่ายระหว่างการถ่ายทำขึ้นมา และการฝึกฝนและการทดสอบก็เกิดขึ้นที่โกดังของปิรันยา สตันท์
“ในขณะที่นักแสดงกำลังฝึกปีนชั้นหนังสือ เราต้องสร้างฉากและเลือกแนววิถีและจุดของการปีนแต่ละครั้ง เพื่อที่เราจะสามารถบอกพวกเขาระหว่างฝึกได้ว่า ‘ในวันถ่ายทำ คุณจะต้องปีนไปที่จุดนั้น วางมือของคุณไว้ตรงนี้ วางขาของคุณไว้ตรงนี้ แล้วทำให้มันรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นการตัดสินใจเดี๋ยวนั้น’ น่ะครับ” โรบิเทลกล่าว “มันเป็นลูกเล่นทางเทคนิคที่ว่า คุณจะทำในสิ่งที่คุณทำมาแล้วสามสิบครั้งยังไงให้ดูเหมือนว่าคุณเพิ่งทำมันครั้งแรกน่ะครับ”
ความรู้สึกอึดอัด พื้นที่คับแคบและสไตล์การถ่ายทำฉากต่างๆ ในห้องบิลเลียดหมายถึงการที่ตัวนักแสดง ไม่ใช่สตันท์ ดับเบิล ที่จะต้องแสดงงานสตันท์บนลวดสลิงในช็อตส่วนใหญ่ “ในตอนที่คุณเห็นเด็บราห์อยู่สูงจากพื้นสิบห้าฟุต แล้วกระโดดจากชั้นหนังสือลงไปบนโต๊ะพูล นั่นคือเธอแสดงเองครับ” ฮัลลีย์กล่าว
วอลล์กล่าวว่า งานสตันท์นี้เป็นไฮไลท์สำหรับการถ่ายทำของเธอ “มันมีแค่ฉันที่ต้องกระโดดจากช่องว่างเจ็ดฟุต แล้วใช้มือคว้าอะไรบางอย่างเอาไว้” เธอเล่า “แน่นอนค่ะว่าฉันมีสายรัดนิรภัยอยู่แล้ว และถ้าฉันพลาด พวกเขาก็คงจะจับตัวฉันไว้ได้ แต่มือฉันก็มีเหงื่อซึม ปากฉันแห้งผาก และคุณก็ทำได้แค่สูดลมหายใจแล้วก็ลงมือทำ มันกลายเป็นช่วงเวลาการแสดงที่ยอดเยี่ยมด้วยล่ะค่ะ”
มิลเลอร์เองก็มีประสบการณ์สตันท์ของตัวเองเหมือนกัน “ผมถูกเหวี่ยงเข้าไปในเครื่องบดย่อยขยะจากเพดานในห้องสมุดของผู้ควบคุมเกม ในห้องน้ำแข็ง ผมร่วงลงไปในรูน้ำแข็ง และในห้องบิลเลียด ผมก็ต้องยึดเกาะผนังห้องเอาไว้ครับ”
ในการเตรียมพร้อมสำหรับฉากสตันท์ใหญ่ของเขา โดดานีได้ฝึกฝนกับทีมนักประดาน้ำในสระน้ำภายในฐานทัพทหาร “ผมเรียนรู้การดำน้ำสคูบา ผมฝึกการจมน้ำ กรีดร้องและหายใจใต้น้ำครับ” ฉากนี้ถูกถ่ายทำภายในแทงค์น้ำที่โรงถ่ายของสตูดิโอ
ประวัติทีมนักแสดง
เทย์เลอร์ รัสเซล (โซอี้ เดวิส) เกิดในเมืองแวนคูเวอร์ ตอนเล็กๆ เธอสนใจศิลปะการแสดงมาโดยตลอด หลังจากเธอสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย เธอก็ไล่ตามความฝันในการเป็นนักแสดงของเธอและคว้าบทต่างๆ ทั้งในจอแก้วและจอเงินมาได้ภายในปีแรก
ล่าสุด เธอได้ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์โดยเทรย์ เอ็ดเวิร์ด ชูลท์เรื่อง Waves ประกบลูคัส เฮดเจส, Words on Bathroom Walls ประกบชาร์ลีย์ พลัมเมอร์และ Dr. Bird’s Advice for Sad Poets ประกบลูคัส เจด ซูแมนน์และเจสัน ไอแซ็คส์
ปัจจุบัน เธออยู่ระหว่างการถ่ายทำซีซันสองของซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ ออริจินอลยอดนิยมเรื่อง “Lost in Space” ในบทจูดี้ โรบินสัน
โลแกน มิลเลอร์ (เบน มิลเลอร์) เมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ฟ็อกซ์เรื่อง Love, Simon สำหรับผู้กำกับเกร็ก เบอร์ลันติ มิลเลอร์เพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์อินดีเรื่อง We Summon the Darkness ประกบอเล็กซานดรา แด็ดดาริโอ้ และได้รับบท ลูกชายของจิม แกฟฟิแกนใน You Can Choose Your Family ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เซาธ์บายเซาธ์เบสต์ปี 2018 นอกจากนี้ เขายังได้นำแสดงในภาพยนตร์บลัมเฮาส์เรื่องใหม่ Prey สำหรับผู้กำกับแฟรงค์ คัลฟูน และรับบทคนรักของโซอี้ ดอยช์ใน ภาพยนตร์โดยไร รุสโซ ยังค์ ทีสร้างจากนิยายเบสต์เซลเลอร์เรื่อง Before I Fall ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2017 ผลงานอื่นๆ ของมิลเลอร์รวมถึงบทประจำในซีรีส์ดรามาเรตติ้งสูงของเอเอ็มซีเรื่อง “The Walking Dead,” ภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซล/ดรีมเวิร์คส์เรื่อง A Dog’s Purpose สำหรับผู้กำกับแลสซี ฮอลสตรอม, ทริลเลอร์ที่สร้างแบบฟุตเตจที่ถูกเก็บได้เรื่อง The Good Neighbor ประกบเจมส์ คาน ซึ่งเปิดตัวที่งานเทศกาลภาพยนตร์เซาธ์บายเซาธ์เวสต์และบทนำ คาร์เตอร์ ในภาพยนตร์คอเมดีสยองขวัญโดยพาราเมาท์เรื่อง Scout’s Guide to the Zombie Apocalypse ประกบไท เชอริแดน มิลเลอร์ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบดาราแจ้งเกิดจากภาพยนตร์สองเรื่องของเขาในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ในปี 2015 ได้ร่วมแสดงในดรามารวมดาราเรื่อง The Stanford Prison Experiment และได้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Take Me to the River นอกจากนี้ มิลเลอร์ยังได้แสดงใน Plus One ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เซาธ์บายเซาธ์เวสต์และได้แสดงในภาพยนตร์โดยเคลลี ไรชาร์ดเรื่อง Night Moves ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสและ Deep Powder ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ไทรเบกา โลแกนแจ้งเกิดจากบทแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์วัยหนุ่มในคอเมดีโดยนิวไลน์เรื่อง Ghosts of Girlfriend’s Past เขาได้แสดงนำในซีรีส์ดิสนีย์ยอดนิยมเรื่อง I’m in the Band และปัจจุบัน ได้พากย์เสียง แซม ในซีรีส์อนิเมชันเรื่อง Ultimate Spider-Man และ Guardians of the Galaxy
เด็บราห์ แอน วอลล์ (อแมนดา ฮาร์เปอร์) เป็นนักแสดงหญิงที่มีส่วนผสมน่าอิจฉาของพรสวรรค์ ความงามและเสน่ห์ตามธรรมชาติ เธอยังคงดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้อย่างง่ายดายในบทแล้วบทเล่า
ในปี 2015 วอลล์ได้ร่วมมือกับยักษ์ใหญ่แห่งวงการบันเทิงอย่างเน็ตฟลิกซ์แอ็กชันดรามาออริจินอลเรื่องใหม่ “Marvel’s Daredevil” ในการสรุปความเป็นแอ็กชันและดรามาของเรื่อง วอลล์ได้รับบท คาเรน เพจ ตัวละครลึกลับที่เป็นผู้ควบคุมจุดเปลี่ยนที่น่าตื่นตะลึงของซีรีส์ ซึ่งส่วนใหญ่ส่งเธอเข้าไปในชีวิตของแมทท์ เมอร์ด็อค ตัวละครของชาร์ลีย์ ค็อกซ์ เพื่อนร่วมแสดงของเธอ ซีซันแรกที่มีสิบสามเอพิโซดได้เริ่มแพร่ภาพในวันที่ 10 เมษายน ปี 2015 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชมล้นหลาม ซีซันสองเปิดตัวในวันที่ 18 มีนาคม ปี 2016 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชมไม่แพ้กัน ซีรีส์นี้ได้รับอนุมัติให้สร้างซีซันที่สาม ซึ่งเป็นซีซันสุดท้าย และเริ่มฉายในวันที่ 19 ตุลาคม ปี 2018 และปัจจุบันแพร่ภาพทางเน็ตฟลิกซ์ ก่อนหน้านี้ วอลล์ได้กลับมารับบท คาเรน อีกครั้งในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์/มาร์เวลออริจินอลสองเรื่องคือ “The Defenders” ซีรีส์ซูเปอร์ฮีโรอีพิคที่เป็นการรวมตัวกันของแดร์เดวิล (ชาร์ลีย์ ค็อกซ์), เจสสิกา โจนส์ (คริสเตน ริตเตอร์), ลุค เคจ (ไมค์ โคลเตอร์) และไอรอน ฟิสต์ (ฟินน์ โจนส์) และ “The Punisher” ประกบจอน เบิร์นธัล ซีรีส์ทั้งสองเรื่องเปิดตัวในปี 2017 และกำลังแพร่ภาพทางเน็ตฟลิกซ์
วอลล์คุ้นเคยกับบทดรามาเป็นอย่างดี เธอโด่งดังจากบทเจสสิกา แฮมบี้ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “True Blood” และรับบทตัวละครที่รักนี้ตลอดทั้งเรื่อง ตัวละครของเธอ ที่เดิมเป็นบทรับเชิญประจำในซีซันแรก ได้รับความชื่นชมอย่างมากจากแฟนๆ จนเธอได้รับข้อเสนอให้รับบทประจำของซีรีส์ในซีซันที่สอง เอพิโซดสุดท้ายของซีรีส์นี้ฉายในวันที่ 24 สิงหาคม ปี 2014
ระหว่างที่เธอพักจาก “True Blood” เธอก็ได้แสดงในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Mother's Day (2010), Little Murder (2011), Seven Days in Utopia (2011), Someday This Pain Will Be Useful to You (2011), Catch .44 (2011), Ruby Sparks (2012), Highland Park (2013), Meet Me in Montenegro (2014) และ Forever (2015) ล่าสุด เธอได้แสดงใน The Automatic Hate ประกบโจเซฟ ครอสและอเดเลด เคลเมนส์ ดรามาอินดีเรื่องนี้เปิดตัวในสายภาพยนตร์น่าจับตามองในงานเทศกาลภาพยนตร์เซาธ์บายเซาธ์เวสต์ปี 2015
ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ รวมถึงบทรับเชิญในซีรีส์ “Life,” “ER,” “The Mentalist” และ “My Name is Earl”
วอลล์เป็นลูกสาวของสถาปนิกและครู เธอเติบโตขึ้นมาในเมืองบรู๊คลิน รัฐนิวยอร์ก ด้วยความสนใจด้านศิลปะมาตั้งแต่เล็กๆ เธอได้เรียนการเต้นและเปียโนก่อนที่จะค้นพบความรักในการแสดงและละครเวทีคลาสสิก เธอได้แสดงในละครเวทีระดับไฮสคูลหลายเรื่อง และได้เข้าร่วมโครงการติวเข้มก่อนเข้ามหาวิทยาลัยของคาร์เนกี้ เมลลอน ก่อนที่จะเข้าศึกษาในสคูล ออฟ เธียเตอร์ที่โด่งดังของมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนียและหลักสูตเชคสเปียร์เข้มข้นที่รอยัล อคาเดมี ออฟ ดรามาติก อาร์ตส์ในกรุงลอนดอน
ปัจจุบัน เธอแบ่งเวลาระหว่างการอยู่ที่นิวยอร์กและลอสแองเจลิส
ด้วยทักษะที่หลากหลายและผลงานที่ครอบคลุมทั้งจอแก้วและจอเงิน เจย์ เอลลิส (เจสัน วอล์คเกอร์) กำลังกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงและผู้อำนวยการสร้างที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในฮอลลีวูดอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการเตรียมงานสร้างซีเควลที่เป็นที่จับตามองอย่างสูงเรื่อง Top Gun: Maverick ที่นำแสดงโดยทอม ครูซ ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกกำหนดให้เข้าฉายในฤดูร้อนปีหน้า
ด้านจอเงิน เอลลิสจะได้แสดงใน A Girl, A Boy, A Dream ซึ่งเปิดตัวงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์และจะเข้าฉายในโรง ภาพยนตร์ในวันที่ 14 กันยายน ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยคาซิม บาเซียร์ และนำแสดงโดยโอมารี ฮาร์ดวิคและเมแกน กู๊ด
ล่าสุด เอลลิสได้แสดงในซีรีส์คอเมดีชื่อดังทางเอชบีโอที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำเรื่อง “Insecure” ประกบอิซซา เรย์ เอลลิสได้รับรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดปี 2018 สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากบทลอว์เรนซ์ แฟนหนุ่มที่รักๆ เลิกๆ ของอิซซา ตัวละครของเอลลิสเป็นขาประจำในสองซีซันของซีรีส์ยอดนิยมเรื่องนี้ และทำให้เขามีแฟนๆ ที่คลั่งไคล้และเข้าใจความรู้สึกตัวละครของเขา ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อของ #LawrenceHive
ล่าสุด เขาได้อำนวยการสร้างและนำแสดงในดรามาอินดีเรื่อง Like Cotton Twines ซึ่งได้รับเลือกให้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์แอลเอปี 2016 และทริลเลอร์ไซไฟเรื่อง Shortwave ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลแดนเซส วิธ ฟิล์มในปี 2016
ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงการแสดงนำในซีรีส์ยอดนิยมทางบีอีทีเรื่อง “The Game” ระหว่างปี 2013-2015 และการแสดงใน “Masters of Sex,” “Grace and Frankie,” “How I Met Your Mother,” “Grey’s Anatomy” และ “NCIS”
ในปี 2016 เอลลิสได้รับหน้าที่โฆษกของเนชันแนล แบล็ค เอชไอวี/เอดส์ อแวร์เนส เดย์ โดยเอชไอวี/เอดส์ อแวร์เนส เดย์เป็นโปรเจ็กต์ของคอมมิวนิตี้ แคแปซิตี้ บิลดิ้ง โคอัลลิชัน (ซีซีบีซี) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาด (ซีดีซี) ซึ่งมีภารกิจการให้ความช่วยเหลือด้านการสร้างขีดความสามารถให้กับองค์กรในชุมชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการป้องกันโรคเอดส์และเชื้อเอชไอวี ในเดือนธันวาคม ปี 2016 เอลลิสได้รับการร้องขอจากคณะทำงานของโอบามาให้พูดและดูแลการพูดคุยที่ทำเนียบขาวสำหรับการประชุมมาย บราเธอร์ส คีพเพอร์ครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นการประชุมที่ริเริ่มโดยประธานาธิบดีบารัค โอบามา เพื่อกล่าวถึงช่องว่างทางโอกาสที่เด็กชายและเด็กหนุ่มผิวสีต้องเผชิญและทำให้แน่ใจว่าหนุ่มสาวทุกคนจะสามารถทำตามศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที
นอกจากนี้ เอลลิสยังเป็นอาสาสมัครให้กับอินไซด์ เอาท์ ไรเตอร์ส องค์กรที่สอนการเขียนสร้างสรรค์ในสถานกักกันเยาวชนของลอสแองเจลิส เคาน์ตี้อีกด้วย
เจย์ เอลลิสสำเร็จการศึกษาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยคอนคอร์เดียในพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน และปัจจุบัน ใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย
ไทเลอร์ ลาไบน์ (ไมค์ โนแลน) ปัจจุบัน ได้แสดงนำในซีรีส์ใหม่ยอดนิยมทางเอ็นบีซีเรื่อง “New Amsterdam” ในบทดร.อิกกี้ โฟรม นักจิตบำบัดเด็ก ที่ชื่นชอบการคิดนอกกรอบ แต่ก็ถูกขัดขวางเสมอด้วยระบบของโรงพยาบาล นอกจากนี้ ลาไบน์ยังได้แสดงในซีซันใหม่ของซีรีส์บีบีซี อเมริกาเรื่อง “Dirk Gently’s Holistic Detective Agency” ประกบเอไลจาห์ วู้ดและซามวล บาร์เน็ตต์ในบท เชอร์ล็อค ฮ็อบส์ นายอำเภอเมืองเล็กๆ ผู้กระตือรือร้นเกินงาม
ก่อนหน้านี้ ลาไบน์ได้รับบท เควิน พาคาเลียกลูในซีรีส์คอเมดีแปลกใหม่ทางฮูลู/ไลออนส์เกท ทีวีเรื่อง “Deadbeat” นานสามซีซัน ก่อนหน้านั้น เขาเป็นขาประจำซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Animal Practice,” ซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “Mad Love,” ซีรีส์เอฟเอ็กซ์เรื่อง “Sons of Tucson,” ซีรีส์เอบีซีเรื่อง “Invasion” และซีรีส์ซีดับบลิวเรื่อง “Reaper” นอกจากนี้ เขายังได้พากย์เสียง ฮังค์ ในซีรีส์ดรีมเวิร์คส์ อนิเมชันเรื่อง “Voltron” สำหรับเน็ตฟลิกซ์อีกด้วย
ด้านจอเงิน ลาไบน์ได้แสดงประกบอลัน ทูดิ๊คในคอเมดีสยองขวัญคัลท์คลาสสิกเรื่อง Tucker and Dale vs. Evil ผลงานอื่นๆ ของเขารวมถึง The Boss, Little Evil, Rise of The Planet of The Apes, A Good Old-Fashioned Orgy และ Flyboys นอกจากนั้น เขายังได้แสดงในภาพยนตร์อินดีเรื่อง Little Star ประกบอนาเลห์ ทิปตัน, Someone Marry Barry และ Killing Winston Jones อีกด้วย
นักแสดง มือเขียนบทและนักแสดงตลก นิค โดดานี (แดนนี ข่าน) กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ เขาจะสร้างความขำขันให้กับผู้ชมในซีรีส์ซีบีเอสที่นำซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง “Murphy Brown” มาสร้างใหม่ ด้วยบทแพท พาเทล ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายโซเชียล มีเดีย ผู้ได้รับมอบหมายให้นำเมอร์ฟีย์ บราวน์ (แคนดิซ เบอร์เกน), คอร์กี้ เชอร์วู้ด (เฟธ ฟอร์ด), แฟรงค์ ฟอนทานา (โจ เรกัลบูโต) และไมลส์ ซิลเวอร์เบิร์ก (แกรนท์ ช็อด) เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 หลังจากสมาชิกทีม “FYI” เหล่านี้มาร่วมงานกันอีกครั้งในรายการคุยข่าวช่วงเช้ารายการใหม่ของเมอร์ฟีย์
ต้นปีนี้ โดดานีได้กลับมารับบท ซาฮิด เพื่อนรักขวัญใจทุกคน ผู้หมกมุ่นกับสาวๆ เจ้าคารมและเพื่อนร่วมงานของแซม การ์ดเนอร์ในดราเมดีชื่อดังทางเน็ตฟลิกซ์เรื่อง “Atypical” ปัจจุบัน ซีซันสองกำลังแพร่ภาพทางเน็ตฟลิกซ์และเพิ่งได้รับการอนุมัติให้สร้างซีซันสามต่อ
ในฤดูร้อนปี 2018 โดดานีได้แสดงในภาพยนตร์รักร่วมเพศเกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของเน็ตฟลิกซ์เรื่อง Alex Strangelove ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชม นอกเหนือจากนั้น เขายังได้รับบทรับเชิญที่น่าจดจำในซีรีส์หลายเรื่องเช่น “The Comeback” ประกบลิซา คุโดรว์, “Selfie” ประกบคาเรน กิลเลนและจอห์น โช, “The Player” ประกบนักแสดงในตำนาน เวสลีย์ สไนป์และ “Kevin from Work”
โดดานีฝึกปรือฝีมือการแสดงตลกบนเวทีที่โด่งดังที่สุดของลอสแองเจลิสหลายแห่ง รวมถึงเดอะ คอเดมี สโตร์, เดอะ ลาฟ แฟคทอรีและเดอะ ฮอลลีวูด อิมโพรฟ และสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมด้วยไหวพริบและจังหวะที่พอเหมาะพอเจาะของเขา หนึ่งในการแสดงสแตนด์อัพคอเมดีได้สะกดใจผู้ชมเมื่อเขาพูดถึงประเด็นที่เป็นส่วนตัวอย่างการโตมาในฐานะชาวอินเดียนอเมริกันที่เป็นเกย์ ผู้อยากเป็นนักเขียนในฮอลลีวูด
เขาคุ้นเคยกับงานภาพยนตร์เป็นอย่างดี โดยเขาเคยแสดงในภาพยนตร์อินดีมาแล้วหลายเรื่อง รวมถึง The Good Neighbor ซึ่งเป็นงานภาพยนตร์เรื่องแรก ที่เขาได้แสดงร่วมกับเคียร์ กิลไครสต์ เพื่อนร่วมแสดงจาก “Atypical” ของเขา และจะแสดงในภาพยนตร์อินดีที่กำลังจะเข้าฉายเรื่อง Behold My Heart ประกบมาริสา โทเมย์
โดดานีเกิดในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส และเติบโตในเมืองสก็อตส์เดล รัฐอริโซนา ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
โยริค แวน วาเกนนินเกน (วูทานยู ผู้ควบคุมเกม) เป็นนักแสดง ผู้กำกับและมือเขียนบทชาวดัทช์ เขาใช้เวลาสิบห้าปีแรกของการทำงานไปกับการทำงานในโรงละครในเนเธอร์แลนด์ ก่อนที่จะขยับขยายไปทำงานภาพยนตร์ เขาเริ่มทำงานในอเมริกาหลังจากความสำเร็จของภาพยนตร์ดัทช์เรื่อง Total Loss ที่กำกับโดยดานา นอยช์แทน และได้รับเลือกให้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เอเอฟไอ
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา แวน วาเกนนินเกนได้ทำงานในฮอลลีวูดอย่างสม่ำเสมอ เขาได้แสดงประกบไคลฟ์ โอเวนและแองเจลินา โจลีใน Beyond Borders, ได้แสดงใน The New World โดยเทอร์เรนซ์ มาลิค, The Chronicles of Riddick และรับบทจูสต์ใน The Way ประกบมาร์ติน ชีน ภายใต้การกำกับของเอมิลิโอ เอสเตเวซ
เขารับบท บจูร์แมนในภาพยนตร์รางวัลโดยเดวิด ฟินเชอร์เรื่อง The Girl with the Dragon Tattoo และซาดัคในภาพยนตรโดยไมเคิล แมนน์เรื่อง Blackhat
เขารับบท ผู้คุมบาร์ร็อทในรีเมกภาพยนตร์ปี 1973 เรื่อง Papillon ประกบชาร์ลีย์ ฮันแนมและรามี มาเล็ค
แวน วาเกนนินเกนยังได้ทำงานในแวดวงภาพยนตร์ยุโรปบ่อยครั้งอีกด้วย เขาได้ร่วมทำงานในภาพยนตร์โดยปีเตอร์ กรีนอเวย์หลายครั้งและได้แสดงในภาพยนตร์โดยมาร์ติน คูลโฮเวนเรื่อง Winter in Wartime, ภาพยนตร์โดยกีโด้ แวน ดรีเอลเรื่อง Resurrection of a Bastard และล่าสุดในภาพยนตร์โดยลีโอนาร์โด้ กัวร์รา เซราโนลีเรื่อง Last Summer
เขาเพิ่งกำกับละครเวทีเรื่องแรกของเขาในเนเธอร์แลนด์และได้เขียนบทภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง
แวน วาเกนนินเกนแต่งงานแล้ว เขาเลี้ยงสุนัขหนึ่งตัวชื่ออาทิลลา
ประวัติทีมผู้สร้าง
อดัม โรบิเทล (ผู้กำกับ) สำเร็จการศึกษาจากสคูล ออฟ ซีเนมาติก อาร์ตส์แห่งมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย เอกงานสร้างภาพยนตร์และการแสดง
เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งโด่งดังหลังจากที่ได้รับการทาบทามให้กำกับแฟรนไชส์สุดสยองของบลัมเฮาส์เรื่อง Insidious: The Last Key (2017) ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในวันที่ 5 มกราคม ด้วยรายได้ในประเทศสูงลิบลิ่ว ที่ 30 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์ที่เปิดตัวและกว่า 167 ล้านเหรียญทั่วโลก ทำให้มันเป็นภาพยนตร์ Insidious ที่ทำรายได้สูงสุดจนถึงปัจจุบัน โรบิเทลสร้างชื่อเสียงในวงการในฐานะคนทำหนังสยองขวัญ ด้วยการเขียนบท กำกับและอำนวยการสร้าง The Taking of Deborah Logan (2014) ทริลเลอร์สยองขวัญที่สร้างแบบฟุตเตจที่ถูกเก็บได้ The Taking of Deborah Logan ได้รับรางวัลไอฮอเรอร์ อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 2014 หลังจากนั้น พาราเมาท์ สตูดิโอส์ก็จ้างโรบิเทลให้ปรับแก้บทของ Paranormal Activity: The Ghost Dimension (2015) ด้านงานเขียน ไอเดียทริลเลอร์เรื่องเหนือธรรมชาติออริจินอลของโรบิเทลเรื่อง Liminal ได้กระตุ้นให้เกิดสงครามการแย่งชิงกันและถูกขายให้กับฟ็อกซ์ 2000 โดยมีนีนา จาค็อบสันเป็นผู้อำนวยการสร้าง โรบิเทลจะรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างโดยมีคริส แลนดอนเขียนบทและกำกับ ด้านจอแก้ว เขาได้พัฒนาผลงานเกี่ยวกับนักสืบ ร่วมกับมือเขียนบทร่วม กาวิน เฮฟเฟอร์แนน, ผู้กำกับจัสติน ลินและผู้บริหารซีรีส์ นิค สโตลเลอร์ รวมถึงซีรีส์สยองขวัญออริจินอล ที่ควบคุมงานสร้างโดยโปรโตซัวของดาร์เรน อาโรนอฟสกี้อีกด้วย
นีล เอช. มอริทซ์ (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้ก่อตั้งออริจินอล ฟิล์ม และเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างที่มีผลงานมากที่สุดในฮอลลีวูด มอริทซ์ ผู้เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากแฟรนไชส์ Fast & Furious ซึ่งรวมถึง Furious 7 ซึ่งทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศมากมายจนกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับหก ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์กว่า 50 เรื่อง ซึ่งทำรายได้รวมกันในบ็อกซ์ออฟฟิศไปกว่าหนึ่งหมื่นล้านเหรียญทั่วโลก
ล่าสุด เขาเพิ่งมีผลงานเป็น The Fate of the Furious ภาคแปดของแฟรนไชส์ Fast และปัจจุบัน เขาก็มีงานห้าเรื่องที่อยู่ในขั้นตอนต่างๆ ของงานสร้าง รวมถึง Sonic the Hedgehog ที่สร้างจากเกมยอดนิยมของเซก้า สำหรับพาราเมาท์, Bloodshot ที่สร้างจาการ์ตูนเรื่อง Valiant สำหรับโซนี พิคเจอร์สและ Wonderland ที่สร้างจากนิยายเรื่อง Spenser for Hire ที่เน็ตฟลิกซ์ ปัจจุบัน เขาเพิ่งเสร็จจากงานสร้างภาพยนตร์ที่สร้างจากเบสต์เซลเลอร์นิวยอร์ก ไทม์เรื่อง The Art of Racing in the Rain สำหรับฟ็อกซ์ 2000
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึง 21 และ 22 Jump Street, Passengers, Goosebumps, Goosebumps 2, Jack the Giant Slayer, Total Recall, The Change-Up, Battle: Los Angeles, The Green Hornet, The Bounty Hunter, I Am Legend, Vantage Point, Made of Honor, Evan Almighty, Gridiron Gang, Click, S.W.A.T., Sweet Home Alabama, XXX, Out of Time, Blue Streak, The Skulls, Cruel Intentions, Urban Legend, I Know What You Did Last Summer, Volcano และ Juice
นอกจากนี้ มอริทซ์ยังประสบความสำเร็จในวงการจอแก้วด้วยผลงานซีรีส์หลายเรื่อง รวมถึง “Preacher” ที่สร้างจากนิยายภาพยอดนิยม และเพิ่งถูกสร้างซีซันที่สี่โดยเอเอ็มซี, “Happy!” ซึ่งปัจจุบันกำลังถ่ายทำซีซันที่สองสำหรับไซไฟและรีบู๊ท “SWAT” ทางซีบีเอสและ “Prison Break” สำหรับฟ็อกซ์ ผลงานหลังจากนี้ของเขาคือซีรีส์ที่ดัดแปลงจากนิยายภาพเรื่อง “The Boys” ทางอเมซอน ผลงานจอแก้วก่อนหน้านี้รวมถึงภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง The Rat Pack ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิง 11 รางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี, ซีรีส์ดังทางโชว์ไทม์เรื่อง “The Big C” และซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Save Me”
มอริทซ์เป็นชาวลอสแองเจลิส เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์จากยูซีแอลเอ ก่อนที่จะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทหลักสูตรปีเตอร์ สตาร์ค โปรดิวซิง โปรแกรมจากมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย
โอรี มาร์เมอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้กำกับของแผนกภาพยนตร์ออริจินอลสำหรับเน็ตฟลิกซ์ ที่ตั้งอยู่ในลอสแองเจลิส
ก่อนหน้าการทำงานกับเน็ตฟลิกซ์ เขาทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับออริจินอล ฟิล์มของนีล มอริทซ์ โฟกัสของเขาอยู่ที่งานภาพยนตร์และโทรทัศน์ และเขาก็มีประสบการณ์ในการจัดการทุกขั้นตอนของงานพัฒนา การประกอบรวม งานสร้าง งานจัดจำหน่ายและงานแสดง
ผลงานก่อนหน้านี้ของเขารวมถึง Passengers ที่นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์และคริส แพรทท์ ที่เขียนบทโดยจอน สไปห์และกำกับโดยมอร์เทน ทิลดัม, Jack the Giant Slayer ที่นำแสดงโดยนิโคลัส โฮลท์และยวน แม็คเกรเกอร์และเขียนบทและกำกับโดยไบรอัน ซิงเกอร์, Battle: Los Angeles ที่นำแสดงโดยแอรอน เอ็คฮาร์ท เขียนบทโดยคริส เบอร์โทลินีและเชน แบล็คและกำกับโดยโจนาธาน ลีเบสแมน, The Green Hornet ที่นำแสดงโดยเซธ โรแกน, คาเมรอน ดิแอซและคริสตอฟ วอลซ์ เขียนบทโดยเซธ โรแกนและอีวาน โกลด์เบิร์กและกำกับโดยมิเชล กอนดรี้และ The Change-Up ที่นำแสดงโดยไรอัน เรย์โนลด์สและเจสัน เบทแมน เขียนบทโดยจอน ลูคัสและสก็อต มัวร์และกำกับโดยเดวิด ด็อบคิน
นอกเหนือจากงานภาพยนตร์แล้ว ปัจจุบัน โอรีอยู่ระหว่างการควบคุมงานสร้างซีรีส์ “Preacher” สำหรับเอเอ็มซี กับเซธ โรแกนและอีวาน โกลด์เบิร์ก และได้ร่วมงานกับทั้งคู่อีกครั้งใน “The Boys at Amazon” ซึ่งแดน แทรชเทนเบิร์กเป็นผู้กำกับและอีริค คริปเก้เป็นผู้ดูแลงานสร้าง
ก่อนหน้าการทำงานกับออริจินอล ฟิล์ม เขาได้ดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารที่แมนดาเลย์ พิคเจอร์สของปีเตอร์ กูเบอร์ ที่ซึ่งเขาได้ดูแลงานพัฒนาและงานสร้างภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึง Donnie Brasco, The Score, Sleepy Hollow และ Seven Years in Tibet
ก่อนหน้าการทำงานกับแมนดาเลย์ เขาทำงานที่ซีเอเอกับเจย์ มาโลนีย์ ผู้ล่วงลับและก่อนหน้านั้น เขาก็ได้ทำงานที่ไอซีเอ็ม, โคลัมเบีย พิคเจอร์สและอินเตอร์ทาเลนท์
บรากี้ ชูท (บทภาพยนตร์โดย/เรื่องราวโดย) เพิ่งขายบทภาพยนตร์ออริจินอลเรื่อง Samaritan ของเขาให้กับเอ็มจีเอ็ม โดยมีการวางตัวซิลเวสเตอร์ สตอลโลนเป็นนักแสดงนำและผู้อำนวยการสร้าง นอกจากนี้ เขายังเพิ่งเตรียมงานสร้างภาพยนตร์แอ็กชันจากบทของเขาเรื่อง March or Die โดยมีชัค โรเวนอำนวยการสร้างและไคล์ อัลวาเรซเป็นผู้กำกับ
ก่อนหน้านี้ ชูทได้ขายบท Big Rig โปรเจ็กต์แอ็กชันที่พาราเมาท์กับไมเคิล เบย์และทริลเลอร์เหนือธรรมชาติเรื่อง The Portrait โดยมีนีล มอริทซ์เป็นผู้อำนวยการสร้าง
ด้านจอแก้ว เขาเพิ่งขายโปรเจ็กต์ดรามาไซไฟที่สร้างจากการ์ตูนเรื่อง “Plutona” โดยเจฟฟ์ เลอเมียร์ ให้กับเอเอ็มซี นอกจากนี้ เขายังรับหน้าที่ผู้บริหารซีรีส์/ผู้ควบคุมงานสร้างของซีรีส์ใหม่เรื่อง “Ninjago” อีกด้วย ก่อนหน้านี้ เขาได้เขียนตอนบทตอนไพล็อตให้กับซีรีส์ “Six” สำหรับโซนี ทีวี, “Theseus” สำหรับไซไฟและได้สร้างและร่วมควบคุมงานสร้างซีรีส์เรื่อง “Threshold” ให้กับซีบีเอส
ผลงานการอำนวยการสร้างของเขารวมถึงบทภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลนิโคล เฟลโลว์ชิพเรื่อง Season of the Witch ซึ่งนำแสดงโดยนิโคลัส เคจและแคลร์ ฟอย นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ เขายังได้เขียนบทภาพยนตร์ดังเรื่อง Singualrity ให้กับผู้กำกับโรแลนด์ เอ็มเมอริค, Gaiking สำหรับเกล แอนน์ เฮิร์ดและโทเอย์ และ Battle of the Planets สำหรับอิเมจิน
มาเรีย เมลนิค (บทภาพยนตร์โดย) เติบโตขึ้นมาในเมืองท่าทางฝั่งตะวันออกไกลของรัสเซีย มากาดัน ที่โด่งดังจากประวัติศาสตร์มืดหม่นของมันในฐานะประตูสู่ค่ายกักกันของสตาลิน และอพยพไปอลาสก้าเมื่อเธออายุได้สิบเอ็ดปี เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาการศึกษาสื่อจากวัสซาร์ คอลเลจและปริญญาโทสาขาการอำนวยการสร้างจากยูซีแอลเอ เธอเริ่มต้นการทำงานจากการเป็นหนึ่งในทีมเขียนบทของ “American Gods” ซีรีส์สตาร์ซโดยไบรอัน ฟูลเลอร์และไมเคิล กรีน ที่สร้างจากนิยายรางวัลโดยนีล เกแมนและเมื่อเร็วๆ นี้ เธอก็เพิ่งรับหน้าที่บรรณาธิการบริหารฝ่ายเรื่องราวในซีรีส์ “Counterpart” (สตาร์ซ) ปัจจุบัน เมลนิคอยู่ระหว่างการดัดแปลงเรื่อง Faith โดยวาเลียนท์ คอมิกส์สำหรับโซนี พิคเจอร์ส ซึ่งจะเป็นซูเปอร์ฮีโรหญิงร่างใหญ่คนแรกที่ปรากฏบนจอเงิน
รีเบ็กก้า ริโว (ผู้ควบคุมงานสร้าง)
มาร์ค สไปเซอร์ (ผู้กำกับภาพ) เป็นผู้กำกับภาพชาวออสเตรเลีย ที่ทำงานเบื้องหลังกล้องมาเนิ่นนาน และได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาได้ทำงานในภาพยนตร์ให้กับผู้กำกับภาพที่มีความสามารถสูงสุดของโลกหลายคน เช่น บรูโน เดลโบเนล เอเอฟซี/เอเอสซี, เอเมียร์ โมครี, เจฟฟรีย์ คิมบอล เอเอสซีและสตีเฟน เอฟ วินดอน เอซีเอส/เอเอสซี ผู้ที่เขาได้ควบคุมกล้องให้ในภาพยนตร์แปดเรื่องและทำหน้าที่ผู้กำกับภาพยูนิทที่สองให้ในภาพยนตร์อีกห้าเรื่อง
ภาพยนตร์เรื่องแรกของสไปเซอร์ในฐานะผู้กำกับภาพคือ Furious 7 ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้กำกับเจมส์ วานทำให้เขาได้กำกับภาพให้กับ Lights Out ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลผู้กำกับภาพออสเตรเลียนสาขากำกับภาพภาพยนตร์ดีเด่น
รางวัลอื่นๆ ที่เขาได้รับรวมถึงรางวัลกำกับภาพดีเด่นสำหรับซีรีส์สารคดีจาก Nobody’s Children และกำกับภาพดีเด่นสำหรับมินิซีรีส์หรือภาพยนตร์จาก Underbelly Razor นอกจากนี้ เขายังได้ถ่ายทำยูนิทที่สองและกำกับภาพใต้น้ำในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง Crouching Tiger, Hidden Dragon อีกด้วย
เขาเริ่มต้นทำงานในจอแก้วที่สถานีที่โด่งดัง ออสเตรเลียน บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชัน (เอบีซี) ในฐานะช่างกล้องงานข่าและสารคดี ที่ได้ถ่ายทำสารคดีกว่า 50 เรื่องให้กับเอบีซี, บีบีซี, แชนแนล โฟร์ ยูเคและเคซีอีทีวี ในออสเตรเลียและทั่วโลก
เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสและได้ถ่ายทำภาพยนตร์ในอเมริกา คิวบา อังกฤษและแอฟริกาใต้มาตลอดห้าปีที่ผ่านมา
เอ็ดเวิร์ด โธมัส (ผู้ออกแบบงานสร้าง) เกิดในเมืองสวอนซี รัฐเซาธ์เวลส์ เขามีความสนใจอย่างมากในด้านศิลปะและการละครตั้งแต่อายุน้อยและในช่วงวัยรุ่น เขาได้เป็นสมาชิกของเดอะ เวสต์ กลามอร์แกน ยูธ เธียเตอร์ เขาเรียนจบหลักสูตรพื้นฐานด้านศิลปะพร้อมด้วยเกียรตินิยมจากสวอนซี คอลเลจ ออฟ อาร์ตในปี 1989 และสำเร็จการศึกษาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้านการออกแบบละครเวทีสามมิติจากวิมเบิลดัน สคูล ออฟ อาร์ต ในปี 1992 การทำงานในแวดวงละครเวทีของเขาเริ่มต้นขึ้นที่รอยัล โอเปรา เฮาส์ในตำแหน่งผู้ช่วยนักออกแบบในละครเวทีเรื่อง “Turandot”
โธมัสได้ร่วมทำงานในโฆษณาหลายชิ้นก่อนที่จะชิมลางงานภาพยนตร์ ประสบการณ์ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาคือภาพยนตร์พีเรียดเรื่อง The Mystery of Edwin Drood ที่สร้างจากเรื่องราวนักสืบที่ยังเขียนไม่เสร็จของชาร์ลส์ ดิคเคนส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้นำไปสู่การได้ทำงานกับพีควิววิงในภาพยนตร์ 12 เรื่องในช่วงเวลาหกปี รวมถึงภาพยนตร์พีเรียด ไซไฟและแฟนตาซี เขาถ่ายทำงานส่วนใหญ่ในแอฟริกาใต้ และเขาก็ได้สะสมประสบการณ์มากมาย อีกทั้งยังได้ทำให้ชื่อเสียงของเขาในฐานะผู้ออกแบบงานสร้างขจรขจายไปไกลอีกด้วย
เมื่อกลับเวลส์ เขาได้ทำตามความฝันในการทำงานที่บ้านกับรัสเซล ที. เดวีส์ใน “Doctor Who” (ซีซัน 1-5) และซีรีส์สปินออฟเรื่อง
“Torchwood” (ซีซัน 1-3), “The Sarah Jane Adventures” และตอนไพล็อตของซีรีส์ “Sherlock” ชื่อเสียงของเขาในการสร้างโลกใหม่ๆ นำเขากลับไปยังแอฟริกาใต้ในปี 2010 เพื่อร่วมมือกับคุโดส์ในซีรีส์ดรามาไซไฟอังกฤษเรื่อง “Outcasts” หลังจากนั้น เขาก็ได้ร่วมงานกับเวิลด์ โปรดักชันใน “United” ซึ่งเล่าเรื่องราวของหายนะของมิวนิค แอร์และดรามาตำรวจทางบีบีซีทูเรื่อง “Line of Duty”
ในปี 2012 โธมัสมีบทบาทสำคัญในการนำฮอลลีวูดมาสู่สวอนซีด้วยซีรีส์ดรามาแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์เรื่อง “Da Vinci’s Demons” ที่สร้างโดยเดวิด โกเยอร์สำหรับสตาร์ซ ทีวี เขามีส่วนช่วยจัดตั้งสตูดิโอและรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างและนักออกแบบซีซัน 1-3 โปรเจ็กต์หลังจากนั้นของเขาคือ Set Fire to the Stars ภาพยนตร์ชีวประวัติของดีแลน โธมัส ที่นำแสดงโดยเอไลจาห์ วู้ด นอกจากนี้ เขายังได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Jack to a King: The Swansea Story อีกด้วย
โธมัสได้อุทิศเวลาไปกับการช่วยออกแบบสตูดิโอแบดวูลฟ์ในคาร์ดิฟฟ์ และไม่นานนัก แอฟริกาก็เรียกหาเขาอีกครั้ง เขากลับไปทำงานในโปรเจ็กต์หลายชิ้น ซึ่งรวมถึง Resident Evil: The Final Chapter
ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการถ่ายทำในเคปทาวน์และนามิเบียกับพอล ดับบลิว. เอส. แอนเดอร์สันใน Monster Hunter แอ็กชันทริลเลอร์แฟนตาซีที่สร้างจากเกมชื่อเดียวกัน
โธมัสได้รับรางวัลมากมายจากผลงานของเขา โดยเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา ซิมรูและอาร์ทีเอส อวอร์ดสาขาออกแบบยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาสาขาผู้มีความสามารถยอดเยี่ยม ในปี 2006 เขาได้รับรางวัลบาฟตา ซิมรู อวอร์ดสาขาออกแบบยอดเยี่ยมจากผลงานของเขาใน Torchwood และได้รับรางวัลออกแบบยอดเยี่ยมในปี 2010 จาก “Doctor Who Waters of Mars” ในปี 2015 โธมัสได้รับรางวัลบาฟตา ซิมรู อวอร์ดสาขาออกแบบยอดเยี่ยมจากผลงานของเขาใน Set Fire to the Stars นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลไอดับบลิวเอ อินสไปร์ อวอร์ดสาขาศิลปะและวัฒนธรรมและได้รับคะแนนโหวตสูงสุดในลิสต์เวลส์ ออนไลน์ อาร์ตส์ พาวเวอร์ปี 2015 อีกด้วย
โธมัสให้การสนับสนุนผู้มีพรสวรรค์หน้าใหม่เสมอและเขาก็ได้จัดตั้งโครงการแอดจาเซนต์ เอดดูเคชันแนล โปรเจ็กต์ระหว่างทำงานใน “DaVinci’s Demons” และเป็นผู้กำกับแผนการฝึกฝน “It’s My Shout” เขาดำรงตำแหน่งรองประธานและสมาชิกของรอยัล เวลช์ คอลเลจ ออฟ มิวสิค แอนด์ ดรามาและสมาชิกของมหาวิทยาลัยเวลส์ ไทรนิตี้ เซนต์ เดวิด และในตอนที่เขาไม่ได้สร้างโลกอื่นๆ บนทวีปแอฟริกา เขาก็ใช้ชีวิตอยู่ในสวอนซีกับนาตาลี ภรรยาของเขาและเนลและเมซี ลูกสาวสองคนของพวกเขา
สตีเวน เมอร์โควิช (มือลำดับภาพ) มีผลงานภาพยนตร์กว่าสี่สิบเรื่องในฐานะมือลำดับภาพภาพยนตร์ ทริลเลอร์/ดรามาเรื่องนี้เป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่เมอร์โควิชได้ร่วมมือกับผู้กำกับอดัม โรบิเทลและเป็นเรื่องที่สองที่เขาได้ร่วมมือกับผู้อำนวยการสร้างนีล มอริทซ์ ผลงานของเขารวมถึงภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกยุคเริ่มแรกอย่างภาพยนตร์โดยจอห์น คาร์เพนเตอร์เรื่อง Big Trouble in Little China และภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อย่าง The Other Guys, Con Air, Broken Arrow, The Ghost and the Darkness และ I Know What You Did Last Summer ผลงานล่าสุดของเขารวมถึง Rings และ Risen ในภาพยนตร์เรื่อง Hardcore Henry เขาได้นำเสนอภาพยนตร์แอ็กชันมุมมองเรื่องแรกของโลก และยกระดับมันขึ้นไปอีกด้วยการลำดับภาพแบบลุ้นระทึกอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา เขามีประสบการณ์กว้างขางและทักษะยอดเยี่ยมของเขาก็เป็นที่ต้องการอยู่เสมอ
เมอร์โควิชเกิดในเมืองโอเชียนไซด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในครอบครัวของเรือโทแห่งกองทัพเรือ ผู้ทำงานในแผนกภาพยนตร์ งานแรกของเขาคือห้องพัสดุที่วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ที่ซึ่งเขาได้ไต่เต้าไปจนได้ทำงานในแผนกลำดับภาพ พออายุได้ยี่สิบกว่าๆ เขาก็ได้ช่วยงานมือลำดับภาพระดับแนวหน้าของวงการ ก่อนที่จะได้รับเครดิตการเป็นมือลำดับภาพภาพยนตร์ในภาพยนตร์เรื่องแรกเมื่ออายุได้ 29 ปี เมอร์โควิชเป็นสมาชิกของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์สาขาลำดับภาพและสมาพันธ์มือลำดับภาพภาพยนตร์แห่งอเมริกา
ไบรอัน ไทเลอร์ (นักประพันธ์) เป็นนักประพันธ์และวาทยากรให้กับภาพยนตร์กว่า 70 เรื่องและได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์แห่งปีจากเวทีคิว อวอร์ดปี 2014 ไทเลอร์ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ยอดนิยมเรื่อง Avengers: Age of Ultron, Furious 7, Iron Man 3 และ Thor: The Dark World เขาได้ทำหน้าที่วาทยกรให้กับวงลอนดอน ฟิลฮาร์มอนิค, ฟิลฮาร์มอเนีย ออฟ ลอนดอนและฮอลลีวูด สตูดิโอ ซิมโฟนีสำหรับภาพยนตร์เหล่านี้ นอกจากนี้ เขายังแต่งดนตรีประกบ Eagle Eye ให้กับผู้อำนวยการสร้างสตีเวน สปีลเบิร์กและ Fate of the Furious ซึ่งทำรายได้เปิดตัวสูงสุดตลอดกาลในบ็อกซ์ออฟฟิศ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา อวอร์ดปี 2014 และได้รับการบรรจุชื่อเป็นสมาชิกแผนกดนตรีของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ในปี 2010 ภาพยนตร์ของเขาทำรายได้ไปกว่าหนึ่งหมื่นสองพันล้านเหรียญทั่วโลก
ไทเลอร์เริ่มต้นแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ไม่นานหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด รวมถึงปริญญาตรีจากยูซีแอลเอ เขาเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิด ทั้งเปียโน กีตาร์ กลอง เบส เชลโล เวิลด์เพอร์คัชชัน ซินธ์โปรแกรมมิง กีตาร์ไวออล ชาแรนโก้และบูซูกิ รวมถึงเป็นโปรแกรมเมอร์ซินธ์อีกด้วย เขาได้เล่นเครื่องดนตรีหลายชนิดให้กับภาพยนตร์การปล้นย้อนยุค Now You See Me และซีเควลที่เกี่ยวกับทีมนักมายากลเรื่องนี้
ไทเลอร์ได้เรียบเรียงเสียงและทำหน้าที่วาทยกรให้กับดนตรีประกอบโลโก้ใหม่ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สและได้แต่งเพลงธีมสำหรับฉลองครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งสตูดิโอแห่งนี้ รวมถึงการแต่งดนตรีสำหรับโลโก้ประกอบมาร์เวล สตูดิโอส์ด้วย เขาได้แต่งดนตรีประกอบแฟรนไชส์ The Expendables และ Rambo ที่กำกับโดยซิลเวสเตอร์ สตอลโลน, ดรามาอาชญากรรมเรื่อง Law Abiding Citizen, ภาพยนตร์ยอดนิยมปี 2017 เรื่อง Power Rangers และภาพยนตร์ไซไฟเรื่อง Battle Los Angeles ดนตรีประกอบที่เขาแต่งให้กับภาพยนตร์โดยบิล แพ็กซ์ตันเรื่อง Frailty ทำให้เขาได้รับรางวัลเวิลด์ ซาวน์แทร็ค อวอร์ดในปี 2002 และรางวัลเดอะ เวิลด์ ซาวน์แทร็ค อวอร์ดสาขานักประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี เขาได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลเอ็มมี อวอร์ด, 26 รางวัลเอ็มบีไอ มิวสิค อวอร์ด, ห้ารางวัลเอเอสซีเอพี มิวสิค อวอร์ดและเมื่อเร็วๆ นี้ เขาก็ได้รับ 12 รางวัลโกลด์สปิริต อวอร์ด ซึ่งรวมถึงสาขานักประพันธ์แห่งปีด้วย
หลังจากแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Hunted สำหรับผู้กำกับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด วิลเลียม ฟรายด์คิน ไทเลอร์ก็ได้แต่งดนตรีประกอบดรามาช่วงเปลี่ยนศตวรรษเรื่อง The Greatest Game Ever Played ที่นำแสดงโดยไชอา ลาบัฟ ซาวน์แทร็คเรื่อง Children of Dune ของเขาติดอันดับสี่ในชาร์ตอัลบัมของอเมซอนในขณะที่ Avengers: Age of Ultron, Furious 7, Thor: The Dark World, Iron Man 3 และ Fast Five ต่างก็ขึ้นถึงอันดับหนึ่งของชาร์ตซาวน์แทร็คไอจูนส์
ในปี 2014 ไทเลอร์ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยไมเคิล เบย์เรื่อง Teenage Mutant Ninja Turtles และได้แต่งเพลงธีม “Shell Shocked” ที่เขาแต่งและอำนวยการสร้างภายใต้ชื่อในวงการเพลงอิเล็คโทรนิคของเขา แมดโซนิค เพลงนี้ร่วมร้องโดยวิซ คาลิฟาและคิล เดอะ นอยซ์ และมียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำที่รับรองโดยอาร์ไอเอเอ เขาได้ร่วมมือกับทอม โมเรลโลในเพลงฮิต “Divebomb” สำหรับ “xXx: The Return of Xander Cage”
นอกจากนี้ ไทเลอร์ยังได้แต่งเพลงธีมใหม่สำหรับรายการ NFL ของอีเอสพีเอ็นในปี 2014 รวมถึงได้แต่งเพลงธีมสำหรับการแข่งขันยูเอส โอเพน แชมเปียนชิพ ที่ตอนนี้แพร่ภาพทุกปีทางฟ็อกซ์
ไทเลอร์ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง Truth ที่เปิดตัวในโรงภาพยนตร์ในเดือนตุลาคม ปี 2015 และนำแสดงโดยเคท บลังเช็ตต์ในบทแมรี เมพส์และโรเบิร์ด เรดฟอร์ด ในบท แดน แรเธอร์ ด้านจอแก้ว ผลงานของเขารวมถึงซีรีส์ “Scorpion,” “Hawaii Five-0,” และ “Sleepy Hollow” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขาเพลงเมน ไตเติล ธีมออริจินอลดีเด่นในปี 2014 นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีจาก Last Call และ Transformers: Prime อีกด้วย ล่าสุด เขาได้แต่งดนตรีประกอบซีรีส์ดรามาอีพิคใหม่เรื่อง “Yellowstone” ที่นำแสดงโดยเควิน คอสท์เนอร์และเขียนบทและกำกับโดยเทย์เลอร์ เชอริแดน ซึ่งเปิดตัวทางพาราเมาท์ เน็ตเวิร์คในวันที่ 20 มิถุนายน ปี 2018
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2016 ไทเลอร์ได้แสดงในคอนเสิร์ตเปิดตัวองเขา ด้วยการทำหน้าที่วาทยกรสำหรับดนตรีประกอบภาพยนตร์ของเขากับฟิลฮาร์โมเนีย ออร์เคสตราที่รอยัล เฟสติวัล ฮอลในกรุงลอนดอน
เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้แต่งดนตรีประกอบ The Mummy ที่นำแสดงโดยทอม ครูซและเปิดตัวในเดือนมิถุนายน ปี 2017 และ Crazy Rich Asians ซึ่งเปิดตัวในวันที่ 15 สิงหาคม ปี 2018 นอกจากนี้ เขายังได้แต่งเพลงธีมสำหรับฟอร์มูลา วัน เพื่อการแพร่ภาพทั่วโลก ซึ่งเปิดตัวในฤดูกาลนี้ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
จอห์น แครีย์ (นักประพันธ์) เป็นนักประพันธ์หนุ่ม ผู้เป็นส่วนหนึ่งของแวดวงนักประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ในแอลเอตั้งแต่ปี 2011 เขาโด่งดังจากการเชื่อมช่องว่างระหว่างออร์เคสตราดรามาแบบดั้งเดิมและมินิมอลลิสต์สมัยใหม่ เขามีแบ็คกราวน์หลากหลายทั้งในภาพยนตร์ โทรทัศน์และเกมในฐานะนักประพันธ์ นักออร์เคสตรา นักเรียบเรียงดนตรีและโปรแกรมเมอร์
นับตั้งแต่ปี 2013 แครีย์ได้ทำงานภายใต้การฝึกสอนของนักประพันธ์ผู้คร่ำหวอดในวงการอย่างไบรอัน ไทเลอร์และคีธ พาวเวอร์ ด้วยการเรียบเรียงเสียงในภาพยนตร์เรื่องต่างๆ เช่น Crazy Rich Asians, Avengers: Age of Ultron, Fate of the Furious, The Mummy และ Teenage Mutant Ninja Turtles และซีรีส์ต่างๆ เช่น ซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง Magyver และ Hawaii Five-O
แครีย์สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคปิตอลและมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย เขาเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วม 12 คนจากทั่วโลก ที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมเวิร์คช็อปการแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์และโทรทัศน์ของแอสแคปในปี 2016 กับริชาร์ด เบลลิส เขาเกิดในเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ