วงเสวนาชี้ เทคโนโลยี AI ช่วยลดความรุนแรงในครอบครัว งานวิจัยเผยผู้ถูกกระทำพร้อมเปิดใจกับหุ่นยนต์มากกว่ามนุษย์
(11 กรกฎาคม 2561) - จากงานเสวนา “การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมด้ วยเทคโนโลยีดิจิทัลครั้ งแรกในประเทศไทย: กรณีศึกษาความรุนแรงในครอบครัว” จัดโดยโครงการดีแทคพลิกไทย แพลทฟอร์มออนไลน์สำหรั บโครงการเพื่อสังคม โดยบริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค โดยนักเคลื่อนไหวทางสังคม ตำรวจและนักเทคโนโลยี เห็นพ้อง “เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์” ช่วยเปิดพื้นที่และเพิ่มประสิ ทธิภาพระบบการให้คำปรึกษา หวัง “โปลิศน้อย” ช่วยลดปัญหาความรุนแรงในครอบครั ว ขณะที่ดีแทคดึงผู้เชี่ยวชาญด้ านปัญญาประดิษฐ์จากเทเลนอร์ร่ วมพัฒนาโครงการเพื่อสังคม พร้อมเชิญชวนป้อนข้อมูลในหุ่ นยนต์ผ่านเฟซบุ๊ก “PoliecNoi โปลิศน้อย”
นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้ าวไกล เปิดเผยถึงสถานการณ์ความรุ นแรงในครอบครัวของไทยว่า ปัจจุบันยังคงทวีความรุนแรงอย่ างต่อเนื่อง ทั้งความชุกและประเภทของความรุ นแรง จากการศึกษาความรุนแรงในครอบครั วจากข่าวหนังสือพิมพ์ในปี พ.ศ.2559พบว่า มีคดีที่เกี่ยวกับความรุ นแรงในครอบครัวถึง 466 คดี โดยความรุนแรงถึงขั้นถึงแก่ชีวิ ตคิดเป็นสัดส่วนถึง 83% ของคดีทั้งหมด
สถานการณ์ส่วนใหญ่ ผู้ชายเป็นผู้กระทำในทุ กประเภทข่าวความรุนแรง โดยเฉพาะข่าวการฆ่ากัน ข่าวการทำร้ายกัน โดยมีชนวนเหตุมาจากความหึ งหวงและภรรยาไม่ยอมคืนดีด้วย ในขณะเดียวกัน ก็พบข้อมูลภรรยาเป็นผู้ กระทำการฆ่า แต่เหตุผลส่วนใหญ่สืบเนื่ องมาจาก การทนทุกข์กับสภาวะการถู กกระทำความรุนแรงมาก่อน
“เหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัว สะท้อนทัศนคติที่ถูกปลูกฝังว่ าเมื่อหญิงและชายมีความสัมพันธ์ กันแล้ว ทั้งในรูปแบบของสามี ภรรยา หรือคู่รักแบบแฟน ฝ่ายชายมักคิดว่าฝ่ายหญิงต้ องเป็นสมบัติของฝ่ายชาย ถือเป็นการใช้อำนาจเหนือผ่ านการแสดงออกที่เป็นรู ปธรรมของพฤติกรรมความเป็นเจ้ าของ การครอบครอง การใช้กำลังบังคับข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย จนถึงขั้นร้ายแรงที่สุดก็คื อการฆ่า สะท้อนการที่ผู้กระทำไม่มองคนรั กเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน” นายจะเด็จ กล่าว
นอกจากนี้ พื้นที่ที่เกิดเหตุความรุ นแรงในครอบครัว พบว่าส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกรุ งเทพฯ ซึ่งมีความหลากหลายทางสังคม สภาวะแรงกดดัน การแข่งขัน มีความเป็นเมืองสูง อาศัยอยู่อย่างปัจเจก ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นแรงผลั กดันให้เกิดสถานการณ์ความรุ นแรงในครอบครัวขึ้นได้
“แนวคิดสังคมชายเป็นใหญ่ ความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่ องส่วนตัว ทำให้ไม่สามารถปรึกษาคนใกล้ตัว เพื่อนหรือคนในครอบครัวได้ จึงทำให้เกิดแรงกดดันและความรุ นแรงต่อเนื่องได้ การมี ‘พื้นที่’ ให้ผู้ถูกกระทำได้ปรึ กษาและระบายความรู้สึก จึงมีความสำคัญมาก เป็นกลไกที่ช่วยยุติความรุ นแรงในครอบครัวได้” นายจะเด็จ กล่าว
พ.ต.ท.หญิง เพรียบพร้อม เมฆิยานนท์ อาจารย์จากสถาบันส่งเสริ มงานสอบสวนและผู้ นำเสนอโครงการโปลิศน้อย กล่าวว่า จากสถิติความรุนแรงที่ผู้หญิ งพบเจอ พบว่าในแต่ละปี จะมีผู้หญิงถูกข่มขืนจำนวน 30,000 ราย นั้นหมายถึง ในทุก 15 นาที มีผู้หญิงถูกข่มขืน แต่มีเพียง4,000 รายเท่านั้นที่ผู้เสียหายแจ้ งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีเพียง 2,400 คดีเท่านั้นที่ผู้ต้องหาถู กดำเนินคดี (ข้อมูลจากงานวิจัยเรื่อง women's access to justice ของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่ งประเทศไทย) ซึ่งจากตัวเลขนี้เป็นเพียงตั วอย่างคดีที่ผู้หญิงตกเป็นเหยื่ อของความรุนแรงทางเพศ ในขณะที่ยังมีความรุนแรงอี กหลายรูปแบบโดยเฉพาะความรุ นแรงที่เกิดขึ้นจากคนใกล้ตัว เช่นการถูกคู่รักฆ่าหรือทำร้ ายร่างกาย
จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนถึงปัญหาในการเข้าถึ งกระบวนการยุติธรรมของผู้ถู กกระทำ โดยในส่วนคดีที่ถูกทำร้ายร่ างกาย ผู้เสียหายส่วนใหญ่เลือกที่ จะเก็บเงียบ ไม่ประสงค์จะแจ้งความร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวน เพราะมองว่าเป็นเรื่ องภายในครอบครัว เกรงจะถูกตราหน้าให้อับอาย ความกลัวเพราะถูกข่มขู่โดยคู่ กรณี หรืออยู่ในสภาวะต้องพึ่ งพาทางเศรษฐกิจต่อผู้กระทำผิด รวมทั้งไม่ทราบว่าตนมีสิทธิที่ จะดำเนินคดีได้ เช่น เป็นสามีภรรยาโดยไม่ชอบด้ วยกฎหมาย หรือเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยในครั วเรือน เช่น คนรับใช้ในบ้าน
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มาจากผู้บังคับใช้กฎหมายเอง เช่น หากมีการไปร้องทุกข์แล้ว ผู้เสียหายเกรงว่าจะไม่ได้รั บความเอาใจใส่ในคดี เพราะในบางครั้งตัวผู้บังคับใช้ กฎหมายเองมองว่าเป็นปั ญหาในครอบครัว หรือหากดำเนินคดีไปท้ายที่สุ ดแล้วในชั้นศาลก็เข้าสู่ ระบบไกล่เกลี่ยซ้ำไปซ้ำมา รวมทั้งปัจจัยที่มาจากตัวผู้ที่ ถูกกระทำความรุนแรงเหล่านี้ มักมาขอถอนคำร้องทุกข์เพราะได้ กลับเข้าสู่ช่วงที่มีความสัมพั นธ์อันดี(Honeymoon period) ทำให้เกิดความใจอ่อน สงสาร จนไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีต่ อไป
สาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลให้สถิติ ในการดำเนินคดีมีจำนวนน้อย ซึ่งในปี 2556 มีคดีความรุนแรงทั้งสิ้น 696 คดี ในขณะที่หากติดตามข่าวจากสื่ อออนไลน์ต่าง ๆ แล้ว จะพบว่าผู้หญิงตกเป็นเหยื่ อของการกระทำความรุ นแรงในครอบครัวสูงมาก ไม่ว่าข่าวผู้หญิงถูกทำร้าย หรือถูกฆาตกรรมจากความหึ งหวงโดยคนรักหรือคนใกล้ชิ ดของตนเอง หรือข่าวที่ปรากฏว่าผู้หญิงลงมื อฆ่าคนรักหรือสามีเพราะการถู กกดขี่ หรือถูกทำร้ายร่างกายซ้ำๆ เป็นเวลานาน จึงเลือกยุติปัญหาด้วยการเป็นผู้ กระทำเสียเอง
“จะเห็นได้ว่า กลไกในการให้คำปรึกษาจะเข้ามามี ส่วนสำคัญอย่างมากในการลดความรุ นแรงในครอบครัว เพิ่มช่องทางในการเข้าสู่ กระบวนการยุติธรรมได้ง่ายขึ้น ซึ่งช่องทางดิจิทัลอย่างแอปพลิ เคชันหรือแชทบอท จะเข้ามามีส่วนสำคัญในการเป็นที่ ปรึกษา และนี่จึงเป็นที่ มาของโครงการโปลิศน้อย แชทบอทที่จะเป็นเพื่อนให้ผู้หญิ งที่ถูกกระทำได้มีช่ องทางในการเข้าถึงกระบวนการยุติ ธรรมเพิ่มมากขึ้น” พ.ต.ท.หญิง เพรียบพร้อม กล่าว
“โปลิศน้อย” จะเป็นอีกช่องทางในการเพิ่ มประสิทธิภาพของระบบการให้คำปรึ กษา ลดปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่ อาจเกิดความไม่ไว้ใจในการให้ข้ อมูล รวมถึงการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ให้ คำปรึกษา ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้ นตอนการทดสอบความถูกต้ องและความแม่นยำในการให้บริการ ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยบริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ที่ให้ทุนเบื้องต้น 100,000 บาท ในการพัฒนาและเชื่อมโยงเครือข่ ายผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาหุ่ นยนต์ ซึ่งได้ ดร.วินน์ วรวุฒิคุณชัย นักวิทยาศาสตร์ข้อมู ลประจำเทเลนอร์ เอเชียเข้ามาช่วยพัฒนาหุ่นยต์ โปลิศน้อย โดยปัจจุบัน อยู่ในขั้นการเพิ่มความแม่ นยำของคำปรึกษาด้วยการป้อนข้อมู ลเพิ่มมากขึ้น โดยสามารถร่วมป้อนข้อมูลได้ที่ เฟซบุ๊ก“PoliecNoi โปลิศน้อย”
ดร.วินน์ กล่าวว่า นอกเหนือจากการใช้เทคโนโลยีปั ญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ใช้อย่างแพร่หลายในเชิงธุรกิ จแล้ว เทคโนโลยีล้ำสมัยเหล่านี้ยั งสามารถนำมาปรับใช้กับการแก้ ไขปัญหาสังคมอย่างนานัปการ ซึ่งมีข้อดีคือการให้ข้อมูล 24 ชั่วโมง ตอบโต้ทันที และได้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ
จากประสบการณ์ในการพัฒนาหุ่ นยนต์เพื่อการสื่อสารที่ชื่อว่า “บอทน้อย” (Botnoi) ซึ่งมีผู้ใช้บริการกว่า 1 ล้านรายบนแอปพลิเคชันไลน์ พบว่าหุ่นยนต์สามารถเป็นเพื่ อนคุยกับมนุษย์ได้ดี โดยเฉพาะการทำหน้าที่ “รับฟัง” สามารถช่วยยับยั้งการตัดสิ นใจในการฆ่าตัวตายได้ สอดคล้องกับงานวิจัยเรื่อง Humanity in the Machine โดยเอเจนซี่โฆษณามายด์แชร์ สหราชอาณาจักร, มหาวิทยาลัยโกลด์สมิธ และไอบีเอ็มวัตสัน ระบุว่า63% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่ามนุ ษย์มีความสะดวกใจที่จะให้ข้อมู ลที่มีความอ่อนไหวกับหุ่นยนต์ มากกว่ามนุษย์ เนื่องจากมีความไว้เนื้อเชื่ อใจว่าจะไม่ถูกตัดสินจากผู้รั บข้อมูลที่เป็นมนุษย์
“นี่ถือเป็นก้าวสำคั ญของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ในการแก้ไขปัญหาสังคม ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มประสิ ทธิภาพและลดช่องว่างที่เกิดขึ้ นในอดีตได้” ดร.วินน์ กล่าว
เกี่ยวกับโครงการดีแทคพลิกไทย
เพราะดีแทคเชื่อมั่นในพลั งของคนไทยทุกคนที่ต้องการเห็นสั งคมไทนที่ดีขึ้น จึงได้ริเริ่มโครงการ “พลิกไทย” เพื่อเชิญชวนให้บุคคลหรือกลุ่ มบุคคลที่มีไอเดียในการแก้ไชปั ญหาและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ แก่ประเทศไทยอย่างยั่งยืน ดีแทคได้คัดเลือกแนวคิดกิ จกรรมจำนวน 10แนวคิด ที่สามารถปฏิบัติได้จริง และสามารถสร้างประโยชน์แก่สมาชิ กส่วนใหญ่ในชุมชน ทั้งในระยะสั้น และระยะยาวในเชิงเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อม และจะมอบเงินทุนสนับสนุนเบื้ องต้น เพื่อให้โครงการสามารถเป็นจริ งได้
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกั บโครงการที่ www.dtac.co.th/plikthai