“AMA” วางเป้ารายได้ปี 61 โต 30% ทำนิวไฮต่อ ลุยขยายกองเรือ-รถขนส่ง ศึกษาแผนซื้อกิจการ
“อาม่า มารีน” ตั้งเป้ารายได้ปี 61 โตที่ระดับ 30% ทำนิวไฮต่อเนื่อง เตรียมขยายกองเรืออีก 2 ลำ ดันน้ำหนักบรรทุกรวมแตะ 110,000 เดทเวทตัน รถขนส่งเพิ่มเป็น 180 คัน รองรับตลาดปาล์มน้ำมันโต พร้อมศึกษาแผนซื้อกิจการ
นายพิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ AMA เปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัทฯตั้งเป้ารายได้จะเติบโตอยู่ที่ระดับ 30% จากการเดินหน้าขยายกองเรือบรรทุกน้ำมัน และสารเคมี และรถบรรทุกขนส่งน้ำมันเพิ่มเติมเพื่อรองรับตลาดปาล์มน้ำมันที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะความต้องการการส่งออกปาล์มน้ำมันจากประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งถือว่าเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็น 85% ของผู้ส่งออกปาล์มน้ำมันทั่วโลก โดยคาดว่าจะมีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นอยู่ที่ราว 4 ล้านตัน ภายในปี 2561 ซึ่งบริษัทฯมีแผนที่จะขยายกองเรือเพิ่มขึ้นอีก 2 ลำ โดยแบ่งเป็นครึ่งปีแรกจำนวน 1 ลำ และครึ่งปีหลังจำนวน 1 ลำ น้ำหนักบรรทุกลำละ 13,000 เดทเวทตัน ด้วยงบลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท ส่งผลให้กองเรือบรรทุกน้ำมันของบริษัทฯจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 10 ลำเป็น 12 ลำ และมีน้ำหนักบรรทุกรวม เพิ่มขึ้นจาก 82,981 เดทเวทตัน เป็น 108,981 เดทเวทตัน ในขณะที่บริษัทฯมีแผนที่จะขยายกองรถบรรทุกขนส่งน้ำมันอีก 30 คัน แบ่งในช่วงไตรมาสที่ 3 จำนวน 10 ลำ และไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จำนวน 20 ลำ ส่งผลให้กองรถบรรทุกขนส่งน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 180 คัน ปริมาณขนส่งรวมเพิ่มเป็น 8.1 ล้านลิตร
ในขณะที่ภายในปี 2561 บริษัทฯมีแผนที่จะเข้าซื้อกิจการ โดยในปัจจุบันบริษัทฯอยู่ในระหว่างศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปี 2561 ซึ่งบริษัทฯมุ่งเน้นการเข้าซื้อกิจการที่มีความเหมาะสมกับการลงทุน และเป็นกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักเพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว โดยบริษัทฯจะใช้แหล่งเงินทุนในการเข้าซื้อกิจการจากเงินสด รวมถึงการกู้ยืมสถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทฯยังมีความสามารถในการกู้ยืมได้เพิ่มเติม เนื่องจากปัจจุบันมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E อยู่ที่ 0.88 เท่า
“ในปีนี้การเติบโตของเราจะยังคงเน้นการเติบโตจากการขยายกองเรือ และรถเพื่อรองรับความต้องการส่งออกปาล์มน้ำมันจากประเทศผู้ส่งออกหลักของโลกที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความต้องการภายในประเทศ ส่วนการเข้าซื้อกิจการก็เป็นอีกแนวทางที่เราศึกษาอยู่ ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้จะเห็นความชัดเจนได้ ซึ่งการซื้อกิจการจะช่วยให้เราเติบโตได้รวดเร็ว และก้าวกระโดดยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ และผลกำไรในระยะยาวอีกด้วย” นายพิศาลกล่าว
ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทฯประจำปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 253.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.96 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 71.99% เมื่อเทียบกับผลประกอบการประจำปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 147.19 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทฯมีรายได้รวมจากการให้บริการขนส่งสินค้าอยู่ที่ 1,500.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 536.20 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 55.60% เมื่อเทียบกับผลประกอบการประจำปี 2559 ที่มีรายได้รวมจากการให้บริการขนส่งสินค้าอยู่ที่ 964.45 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการทำกำไรสุทธิ และรายได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์