ADS


Breaking News

ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง SKN หนึ่งในผู้ผลิตแผ่นไม้เอ็มดีเอฟชั้นนำของประเทศไทย เดินหน้าเข้า SET ปีนี้ ระดมทุนขยายกำลังการผลิต-เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน

ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง “ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์” หรือ SKN หนึ่งในผู้นำการผลิตและส่งออกแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ ขายไอพีโอ 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ1 บาท นำเงินเพิ่มสายการผลิตอีก 1 สาย  ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และชำระเงินกู้ยืมระยะยาว บล.ทิสโก้ ที่ปรึกษาทางการเงิน เผย SKN มีความโดดเด่น จากธุรกิจมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และเทรนด์ความต้องการใช้แผ่นไม้เอ็มดีเอฟในตลาดโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดหลังจากนับหนึ่ง   ไฟลิ่ง พร้อมเดินหน้าระดมทุนเข้าตลาด SET ภายในปีนี้ ด้าน “วิชัย แสงวงศ์กิจ” เอ็มดีบริษัทฯ มั่นใจ บริษัทมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการขยายกำลังการผลิต

นายทวีชัย ตั้งธนทรัพย์ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า บริษัท ส.กิจชัย
เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SKN หลังจากได้ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และแบบแสดงรายการข้อมูลฯ (ไฟลิ่ง)  ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขณะนี้ได้นับหนึ่งไฟลิ่งเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2560  โดยคาดจะสามารถระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปีนี้
ปัจจุบัน SKN มีทุนจดทะเบียนจำนวน  800 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 800  ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ทุนเรียกชำระแล้ว 600  ล้านบาท และเสนอขายหุ้นไอพีโอ 200 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25 ของหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้
วัตถุประสงค์หลักของการระดมทุนครั้งนี้ คือเพื่อลงทุนเพิ่มสายการผลิตอีก 1 สาย ซึ่งจะช่วยขยายกำลังการผลิตของบริษัทอีกกว่า 1 เท่าตัว จากกำลังการผลิตแผ่นไม้เอ็มดีเอฟในปัจจุบันที่ 240,000 ลบ.. เป็น 500,000 ลบ.ม. ภายในกลางไตรมาสที่ 3 ปี 2561เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าและคู่ค้าซึ่งมีอยู่ทั่วโลก ส่วนที่เหลือจากโครงการข้างต้นจะถูกนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต และชำระเงินกู้ยืมระยะยาวเพื่อเสริมสร้างฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
    สำหรับจุดเด่นของธุรกิจ SKN ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกแผ่นไม้เอ็มดีเอฟชั้นนำของประเทศที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง จากความเข้มแข็งของทีมบริหารซึ่งอยู่ในวงการธุรกิจไม้มายาวนาน ทำให้มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเป็นอย่างดี รวมถึง ที่ตั้งของโรงงานที่อยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตมีเทคโนโลยีทันสมัย ความสามารถบริหารต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2559 มีอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 36.72 อัตรากำไรสุทธิร้อยละ 17.60 ขณะเดียวกัน ยังให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพการผลิตมาเป็นอันดับหนึ่ง จากการทำวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการแผ่นไม้เอ็มดีเอฟที่เติบโตต่อเนื่องทุกปี จึงเชื่อว่า หลังการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ SKN จะเป็นอีกบริษัทจดทะเบียนคุณภาพที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีและน่าจับตามอง
นายวิชัย แสงวงศ์กิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SKN เปิดเผยว่า หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นับหนึ่งไฟลิ่งเรียบร้อยแล้ว นับเป็นสัญญาณที่ดีในการเดินหน้าตามแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งที่ผ่านมาแนวโน้มความต้องการใช้แผ่นไม้เอ็มดีเอฟในตลาดโลกที่สูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2558 ประเทศไทยมีสัดส่วนการส่งออกแผ่นไม้เอ็มดีเอฟสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ดังจะเห็นได้จากการที่ บริษัทฯ ได้รับการติดต่อจากลูกค้าเพื่อสั่งซื้อแผ่นไม้เอ็มดีเอฟเพิ่มเติม แต่เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตในปัจจุบันของบริษัทฯ อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว จึงทำให้ต้องปฏิเสธคำสั่งซื้อดังกล่าวไป ซึ่งเป็นเหตุผลหลักของการเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ เพื่อนำมาใช้ขยายกำลังการผลิตให้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกกว่าเท่าตัว เป็นโอกาสที่สนับสนุนให้ บริษัทฯ สร้างการเติบโตอย่างโดดเด่นในระยะยาว และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่
    “หัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ คือคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล การบริหารจัดการที่ดี และการส่งมอบสินค้าได้ตรงตามเวลาที่กำหนด ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะยิ่งสนับสนุนให้ ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมรุกตลาดแผ่นไม้เอ็มดีเอฟไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทั่วโลกได้มากยิ่งขึ้น” นายวิชัย กล่าว