Smart Eating เลือกกินเพื่อผิวสวย
ประชุมเครียด ทำงานหนัก นอนดึก แถมวันหยุดก็ยังมีนัดทำกิจกรรมกลางแจ้งกับเพื่อน ๆ แบบเต็มเหนี่ยว ไม่ใช่แค่ร่างพัง ผิวยังพังไปด้วย จะทำไงดี อยากเตือนสาว ๆ วัยทำงานที่หักโหมใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วงหันมาห่วงตัวเองบ้าง เพราะหากร่างพังผิวพังจนเกินเยียวยา จะกลายเป็นคุณป้าก่อนวัยกันได้
เรื่องผิวสำหรับผู้หญิงนั้นสำคัญมาก เพราะหากผิวสวยสุขภาพดี ย่อมดูดีกว่าผิวแห้งเหี่ยวมีริ้วรอย โดยปกติคนส่วนใหญ่มักจะดูแลผิวด้วยการอาบน้ำและทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกันอยู่แล้ว แต่หากอยากผิวสวยและแข็งแรงอย่างแท้จริง สิ่งที่ควรทำมีมากกว่านั้น ก่อนอื่นมาเริ่มจากการทำความเข้าใจเรื่องผิวกันก่อนดีกว่า โดยแพทย์หญิงอภิชญา เสียงลือชา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านตจวิทยา (ผิวพรรณ) ประจำศูนย์สุขภาพผิวและความงาม โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น จะมาบอกเคล็ดลับให้สาว ๆ ฟังว่า ปกติแล้วผิวของคนเรานั้นแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ
- ชั้นหนังกำพร้า ซึ่งจะแบ่งตัวเป็นขี้ไคลหลุดลอกไปและคอยปกป้องให้ความชุ่มชื่นตามธรรมชาติ ทั้งยังมีเซลล์แบ่งตัวเป็นเม็ดสีจนเกิดเป็นสีผิวของแต่ละคน
- ชั้นหนังแท้หรือคอลลาเจน
- ชั้นไขมันใต้ผิว
ลักษณะชั้นผิวของคนเอเชียอย่างเราค่อนข้างแตกต่างจากคนยุโรปอย่างชัดเจน โดยผิวชั้นนอกที่เป็นเสมือนเกราะป้องกันมลพิษและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ จะบางกว่าจึงระคายเคืองและแพ้ได้ง่าย ขณะที่ส่วนของการสร้างเม็ดสีก็มากกว่าเลยหมองคล้ำได้เมื่อโดนแดด และมักจะเกิดรอยดำหรือแผลเป็นหลังการบาดเจ็บที่ผิวหนัง แต่อย่าเพิ่งน้อยใจ ข้อดีของผิวชาวเอเชียก็มีอยู่เหมือนกัน นั่นคือ ผิวชั้นหนังแท้หรือคอลลาเจนเรียงตัวแน่นกว่าชาวยุโรป ทำให้เกิดริ้วรอยและหย่อนคล้อยน้อยกว่า นอกจากนี้การที่มีเม็ดสีมากในผิวชั้นบนก็ช่วยปกป้องไม่ให้แสงแดดผ่านไปทำลายคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ได้ เห็นไหมล่ะว่าข้อดีของผิวเราก็เริดอยู่นะ
การจะมีผิวสุขภาพดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติหรือลักษณะของผิว แต่มาจากการดูแลตัวเองล้วน ๆ แม้ความแข็งแรงของผิวจะมีปัจจัยภายในเป็นตัวกำหนด อย่างอายุของเซลล์ อนุมูลอิสระ การที่ออกซิเจนเข้าสู่ผิวสารอาหารที่จำเป็นต่อผิว ฯลฯ แต่ปัจจัยภายนอกที่ทำร้ายผิวได้ก็น่ากลัวเช่นกัน โดยเฉพาะ แสงแดด การสูบบุหรี่ และ มลภาวะ เป็นปัจจัย 3 อันดับต้นที่ทำลายผิวมากที่สุด สิ่งเหล่านี้จะเพิ่มอนุมูลอิสระภายในทำให้เกิดฝ้า กระ และริ้วรอยได้ง่าย ดังนั้นจึงควรหลบเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ว่ามาทั้งหมดจะดีที่สุด
นอกจากนี้พฤติกรรมการกินก็สามารถสร้างหรือทำลายสุขภาพผิวได้เช่นกัน หากกินไม่ระวังอาจจะต้องโบกมือลาผิวสวย ๆ เร็วกว่าที่ควร ซึ่งตัวการสำคัญที่มีส่วนทำลายผิวและควรหลีกเลี่ยงคือ น้ำตาล อันเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของผิวได้มากผ่านกลไกใหญ่ 2 ประการ คือ
1. Glycation คือการที่น้ำตาลจับกับคอลลาเจนอย่างถาวร ทำให้คอลลาเจนขาดความยืดหยุ่น ไม่ผลัดเซลล์เก่าเพื่อสร้างเซลล์ใหม่ ลดการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวถูกแดดทำร้ายได้ง่าย ซึ่งน้ำตาลที่กระตุ้น Glycation ได้มากคือ ฟรักโทส (Fructose) ที่ใช้ในการผลิตขนมและน้ำตาลเทียมที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
2. ภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin) หรือภาวะของคนเกือบจะเป็นหรือเป็นเบาหวาน เพราะฮอร์โมนผิดปกติ ระบบฮอร์โมนแก่เร็วทำให้มีติ่งเนื้อหรือคราบดำตามคอ รักแร้ ผิวมัน สิว หนังศีรษะมัน ผมร่วง ซึ่งภาวะการทำงานผิดปกติของอินซูลินนี้จะถูกกระตุ้นโดยอาหารที่มีรสหวาน
อาหารกลุ่มที่สองที่ต้องระวังคือ ผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งมักจะกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย และบางครั้งกระบวนการเลี้ยงดูหรือคัดเลือกนมอาจจะมีฮอร์โมนปนมาด้วย เมื่อได้รับเข้าไปร่างกายจะเสียสมดุลฮอร์โมนอาจจะทำให้เกิดสิว ผมร่วง ภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin) หรือการอักเสบเรื้อรังทั้งผิวหนังและอวัยวะภายในอื่น ๆ ได้
ส่วนอาหารที่ดีต่อผิวเป็นอาหารในกลุ่ม Low-glycemic Diet ซึ่งก็คืออาหารที่ไม่หวานและไม่กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน เช่น ผัก ผลไม้ไม่หวาน และ Complex Carbohydrates ทั้งข้าวกล้อง ถั่ว และธัญพืชต่าง ๆรวมถึงอาหารที่ต้านการอักเสบในตัวประเภท Fish Oil หรืออาหารที่ไม่กระตุ้นการอักเสบในตัวมาก เช่น เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน (Lean Protein) ตลอดจนกลุ่มอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงอย่างผักผลไม้สด ซึ่งจะช่วยลดการทำลายจากแสงแดดและมลภาวะด้วย นอกจากนี้หากต้องการดูแลสุขภาพและผิวพรรณเป็นพิเศษ อาหารเสริมจำพวกวิตามินก็มีส่วนช่วยได้ อาทิ วิตามินB ต่าง ๆ โดยเฉพาะ B1 และ B6 ช่วยลดการเกิดGlycation หรือภาวะเซลล์เสื่อมจากน้ำตาลเกาะได้ นอกจากนี้วิตามินในกลุ่มต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ อย่างวิตามิน C วิตามิน E หรือ Glutathione ก็ช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมจากแสงแดด มลภาวะ และภาวะเครียดหักโหมได้เช่นกัน
รู้อย่างนี้แล้วถ้าอยากมีสุขภาพผิวที่ดีก็ต้องเลือกกินกันหน่อยแล้วล่ะ แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าอาหารเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมให้ผิวดีขึ้นเท่านั้น หากอยากให้ผิวสวย ๆ อยู่กับเรายาวนานขึ้นต้องดูแลตัวเองในด้านอื่นด้วย ที่สำคัญคือ ไม่ลืมทาครีมกันแดดและครีมกักความชุ่มชื้นเป็นประจำ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ทำจิตใจให้แจ่มใส และอาจจะใช้เทคโนโลยีเพื่อการดูแลผิวหน้าเฉพาะจุดบ้าง เมื่อร่วมกับการรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์แล้ว จะยิ่งมั่นใจได้ว่าผิวสวยจะอยู่กับเราไปอีกนาน
ที่มา: บริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ และ แพทย์หญิงอภิชญาเสียงลือชาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านตจวิทยา (ผิวพรรณ) ประจำศูนย์สุขภาพผิวและความงาม โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น