ADS


Breaking News

กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้าโครงการ OPOAI ลงพื้นที่เยี่ยม 2 สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ OPOAI ภาคกลาง เดินหน้าพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ก้าวไปสู่ Industry 4.0

เยี่ยมโรงงานพงษ์-ศราแมนูแฟคเจอริ่ง


โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค ตามนโยบาย          One Province One Agro-Industrial Product หรือ OPOAI (โอ-ปอย) ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรม    เป็นโครงการที่เกิดจากความพยายามของภาครัฐที่ได้น้อมนำปรัชญาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 มาปรับใช้และนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตผลทางการเกษตรของประเทศ  โดยดึงศักยภาพของวัตถุดิบในพื้นที่มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่นและสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในเรื่องการ ก้าวสู่ประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0) ที่จะสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนโครงการOPOAI ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทางสำนักปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่เยี่ยมสถานประกอบการภาคกลาง 2 แห่งประกอบด้วย 
1. เข้าเยี่ยม บริษัท พงษ์-ศราแมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 39-1 หมู่6 ตำบลสามพราน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ประกอบกิจการประเภทแปรรูปอาหารจากเนื้อสัตว์ เช่น ลูกชิ้นปิ้ง
2. เข้าเยี่ยม บริษัท ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 336 หมู่ 6 ถนนสุรศักดิ์ ตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ประกอบกิจการประเภทผลิตภัณฑ์เครื่องหนังจากจระเข้
นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า โครงการโอ-ปอย ได้จัดทีมที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้าไปให้ความช่วยเหลือให้คำแนะนำสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการผ่านแผนงานพัฒนา             ที่ครอบคลุมตลอดโซ่อุปทาน (Supply Chain) ใน 8 ด้าน ประกอบด้วย 1. แผนงานการบริการจัดการโลจิสติกส์ 2. แผนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 3. แผนการปรับปรุงคุณภาพและพัฒนางาน 4. แผนการลดต้นทุนพลังงาน 5. แผนกลยุทธ์ขับเคลื่อนการตลาด 7. แผนการบริหารจัดการด้านการเงิน และ 8. แผนการจัดการสถานประกอบการด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งการทำงานของทีมที่ปรึกษาจะเข้าไปศึกษาข้อมูลของสถานประกอบการจากคณะผู้บริหารของสถานประกอบการ เพื่อดูว่าสมควรที่เข้าพัฒนาในแผนงานไหนมากที่สุด เมื่อได้ข้อสรุปทางทีมที่ปรึกษาจะมีแผนการดำเนินงาน      ให้ปฏิบัติจริง และติดตามผลพร้อมทั้งคำปรึกษาเป็นระยะๆ รวมระยะเวลาในการปฏิบัติงานโดยประมาณ 4-6 เดือนจึงจะเสร็จสิ้นโครงการ


ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาในปี 2559 ผลลัพธ์ที่ได้จากการดำเนินโครงการในระยะเวลา 1 ปี สามารถลดต้นทุน    เพิ่มรายได้ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สถานประกอบการโดยสามารถวัดมูลค่าเชิงเศรษฐกิจเป็นตัวเงินได้กว่า 326 ล้านบาท      ซึ่งหากเปรียบเทียบกับวงเงินงบประมาณที่ใช้ในการพัฒนา 31.6 ล้านบาท ให้ผลประโยชน์มากถึง 10.32 เท่าของวงเงินงบประมาณ มีผู้เข้าร่วมโครงการ 135 ราย เฉลี่ยได้แล้วแต่ละรายสามารถลดต้นทุนเพิ่มรายได้และสร้างมูลค่าเพิ่มได้เฉลี่ย   รายละ 2.41 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปี 2559 สามารถลดต้นทุนเพิ่มรายได้และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสถานประกอบการได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถวัดมูลค่าเชิงเศรษฐกิจเป็นตัวเงินได้กว่า 4,455 ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณรวมทั้งหมดที่ได้รับ 354.6 ล้านบาท ให้ผลประโยชน์มากถึง 12.56 เท่าของวงเงินงบประมาณ มีสถานประกอบการเข้าร่วมโครงการจำนวนกว่า 1,334 ราย เฉลี่ยได้แล้วแต่ละรายสามารถลดต้นทุนเพิ่มรายได้ และสร้างมูลค่าเพิ่มได้เฉลี่ย 3.34     ล้านบาท  

นายสมชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า ประโยชน์ที่ทางสถานประกอบการได้รับโดยตรงที่เห็นเด่นชัดมากที่สุดคือ ได้รับรู้ถึงข้อบกพร่องของสถานประกอบการเอง ว่ามีข้อบกพร่องอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิต การบริหารงาน และอื่นๆ            ที่บางครั้งสถานประกอบการเอง อาจจะมองไม่เห็นข้อบกพร่องนั้นๆ นอกจากนี้ยังได้รับการพัฒนาและแก้ไขจุดบกพร่องนั้น เป็นการเฉพาะจุดจริงๆ
สำหรับในปีงบประมาณ 2560 มีสถานประกอบการSMEs อุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 200 ล้านบาท ในพื้นที่ 76 จังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการจำนวน 171 รายจำนวนแผนงาน 260 แผนงาน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างตรวจติดตามการดำเนินโครงการ โดยในวันนี้ได้มีการเยี่ยมชมและติดตามผลการดำเนินของสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ 2 แห่ง คือ  บริษัท พงษ์-ศราแมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด จังหวัดนครปฐม และบริษัท ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) จำกัด  จังหวัดชลบุรี ทั้ง 2 รายเป็นสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการในปี 2560 และเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของโครงการได้เป็นอย่างดี ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรม
    นางศราลี พรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท พงษ์-ศราแมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด กล่าวว่า  บริษัทเริ่มต้นธุรกิจด้วย         เงินลงทุน 150 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจผลิตลูกชิ้นหมูปิ้งแท้ 100% โดยจะสั่งหมูจากแหล่งที่ได้มาตรฐานจากคู่ค้าหลายเจ้าในจังหวัดนครปฐม มีลูกชิ้นหมูเป็นสินค้าหลักหรือประมาณ 85-90%  ส่วนอีก 5-10% นั้นเป็นลูกชิ้นเอ็นหมู มีการจำหน่ายในระบบแฟรนไชส์ ทั่วประเทศและมีหน้าร้านตั้งอยู่ตามห้างสำคัญๆ มีกลุ่มลูกค้าในประเทศ 100%  สำหรับบริษัทเข้าร่วมโครงการโอ-ปอยในปี 2560 ประเภทแผนงานที่ 3 ด้านการปรับปรุงคุณภาพและพัฒนางาน เนื่องจากพนักงานขาดความเข้าใจ และการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ  ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้จากการดำเนินโครงการฯ แบ่งการทำกิจกรรมเป็น 2 กลุ่ม โดย กลุ่มที่ 1 ลดความสูญเสียเนื้อหมูและลูกชิ้นในกระบวนการผลิต สามารถลดความเสียหายได้ 494,807 บาทต่อปี และกลุ่มที่ 2 ลดความสูญเสียบรรจุภัณฑ์ในกระบวนการบรรจุ 334,560 บาทต่อปี รวมสามารถลดต้นทุน เพิ่มรายได้ให้สถานประกอบการรวมเป็นเงิน 829,367 บาทต่อปี
    นายสุชาติ ปัญญาสาคร รองประธานกรรมการ บริษัท ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องหนังจากจระเข้ครบวงจร บนพื้นที่ของฟาร์มและโรงงานรวมประมาณ 250 ไร่ ได้แก่ 1. เลี้ยงดูจระเข้ 2. ผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์สดและแช่เข็ง อบแห้ง และแปรรูป และ 3. โรงฟอกหนังและตัดเย็บผลิตภัณฑ์เครื่องหนังจากจระเข้ โดยมีการจำหน่ายปลีกหน้าฟาร์มภายใต้แบรนด์ SC และ Crocco รวมทั้งรับจ้างผลิตตามแบบที่ลูกค้าต้องการ โดยบริษัทเข้าร่วมโครงการโอ-ปอยใน 2 แผนงาน ประกอบด้วยแผนงานที่ 3 ด้านการปรับปรุงคุณภาพและพัฒนางาน  แผนงานที่ 6 ด้านกลยุทธ์ขับเคลื่อนการตลาด
    ในแผนงานที่ 3 ด้านการปรับปรุงคุณภาพและพัฒนาผลงาน จากประเด็นปัญหาขาดการวิเคราะห์ข้อมูลของเสียระหว่างกระบวนการและสินค้าสำเร็จรูป รวมถึงต้องใช้แรงงานฝีมือ มีทักษะและความประณีตสูงในการตัดเย็บ เนื่องจากหนังจระเข้มีมูลค่าสูง ดังนั้น จึงได้ทำการอบรมและระดมสมองพนักงานเพื่อแจกแจงปัญหา โดยใช้เครื่องมือคุณภาพ วิเคราะห์สาเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องและ    หาแนวทางพัฒนางานตัดเย็บเพื่อลดของเสีย ผลจากการปรับปรุงคุณภาพและพัฒนางานดังกล่าว ทำให้โรงงานมีมาตรฐานการทำงานของพนักงานตัดเย็บ ปริมาณของเสียมีแนวโน้มลดลง
นายสุชาติ (ซ้าย) นายสมชาย (ขวา)

    ในแผนงานที่ 6 ด้านกลยุทธ์ขับเคลื่อนการตลาด จากการวิเคราะห์ทางการตลาดโดยใช้ SWOT พบว่า บริษัทฯ ควรดำเนินการผลักดันแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศเพื่อเพิ่มยอดขายและศักยภาพของธุรกิจในอนาคต ด้วยจุดแข็งของโรงงานที่เป็นผู้ผลิตอย่างครบวงจร จึงได้ดำเนินการขับเคลื่อนตลาดโดยใช้กลยุทธ์ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ โปรโมชั่น และสถานที่จัดจำหน่าย มีการปรับปรุงรูปโฉมร้านจำหน่ายหน้าโรงงาน (Showroom) อบรมพนักงานขายให้มีความเป็นมืออาชีพในการนำเสนอสินค้าและสร้างภาพลักษณ์ที่ดี จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก ช่วงเทศกาลตรุษจีนสามารถเพิ่มยอดขายได้มากถึง 2 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ปัจจุบันบริษัทฯ มีแผนขยายร้านค้าไปยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งจะใช้ต้นแบบจากร้านค้าที่ปรับปรุงใหม่ โดยเริ่มที่จังหวัดเชียงใหม่ ในห้างสรรพสินค้าเมญ่า ไลฟ์สไตล์ช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ คาดว่าจะสามารถรองรับกำลังซื้อของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น