JMT อวดงบ Q1/60 กำไรพุ่งแรง แถมตุนซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารเพิ่มแล้ว 7,337 ลบ.
JMT ส่งสัญญาณบวกแรงตั้งแต่ต้นปี ประกาศผลงาน Q1/60 รายได้อยู่ที่ 272 ลบ. โต 20% ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 73 ลบ. โต 581% จากปีก่อน หลังภาพรวมธุรกิจบริหารหนี้โตแรงและไม่ต้องรับรู้การลงทุนจาก J Fintech แถมปัจจุบันตุนซื้อหนี้เสียเข้าพอร์ตเพิ่มแล้วกว่า 7,337 พันลบ. จากเป้าทั้งปีซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นลบ. ส่วน เจเอ็มที กัมพูชา คาดเริ่มดำเนินการ Q2 ปีนี้ จึงมั่นใจจะเป็นโอกาส JMT ในฐานะบิ๊กใหญ่ในธุรกิจบริหารหนี้ เตรียมรับทรัพย์กอดหนี้ก้อนโต พร้อมรับรู้รายได้และกำไรได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต ส่วนเป้าทั้งปีวางไว้โตอีก 30% จากปีก่อน เชื่อ ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพระดับแนวหน้าของประเทศ เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยงวดไตรมาส 1/2560 (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560) มีรายได้รวมอยู่ที่ 272ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 226 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 581% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 15 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทฯ ไม่ต้องจัดทำงบการเงินรวมกับบริษัท เจ ฟินเทค จำกัดแล้ว และพร้อมรุกธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพเต็มกำลัง
โดยสาเหตุสำคัญในการเติบโตครั้งนี้ มาจากการประสบความสำเร็จในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ มีสัดส่วนราว 77% ของรายได้รวม จากการเดินหน้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และสามารถจัดเก็บหนี้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนรายได้จากธุรกิจเร่งรัดติดตามหนี้มีสัดส่วน 22% รายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจปล่อยสินเชื่อ 1% นับเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจติดตามเร่งรัดหนี้และบริหารหนี้ด้อยคุณภาพระดับแนวหน้าของประเทศไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาอย่างยาวนาน มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
“JMT พลิกกลับมาเป็นกำไร และสามารถเติบโตอย่างโดดเด่น 581% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2559 ที่มีผลขาดทุน สาเหตุหลักเนื่องจากความสำเร็จในธุรกิจบริหารหนี้ และในงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่บริษัทลงทุนในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด (J Fintech) เดิมเป็นบริษัทย่อยของ JMT ชื่อบริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ ลดสัดส่วนเงินลงทุนใน J Fintech ลงเหลือประมาณ 9.1% ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา ทำให้มีสภาพคล่องที่ดีขึ้น เพิ่มกำลังความพร้อมในการประมูลซื้อหนี้เข้ามา จึงมั่นใจในช่วงต่อจากนี้ จะเป็นอีกปีที่น่าจับตามองของ JMT” นายปิยะ กล่าว
ขณะที่ก่อนหน้านี้ ได้จัดตั้งบริษัท บริษัท เจเอ็มที (กัมพูชา) จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้ และ Call Center คาดจะเริ่มดำเนินธุรกิจได้ภายในไตรมาส 2 ปีนี้ เป็นก้าวแรกของการรุกตลาดในประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง คาดสนับสนุนให้ JMT แข็งแกร่งในระยะยาวได้
สำหรับภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา สถาบันการเงินต่างๆ ทั้ง Bank และ Non-Bank ทยอยขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมา เป็นโอกาสให้ JMT เข้าประมูลซื้อหนี้เพื่อสร้างฐานรายได้ต่อไปในอนาคต โดยในช่วงโค้งแรกของปีนี้ซื้อหนี้เข้ามาบริหารแล้วประมาณ 7 พันล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีนี้จะซื้อหนี้เข้ามาบริหารไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท และเมื่อสิ้นปี 2559 บริษัทฯ มีพอร์ตบริหารหนี้แตะ 1.1 แสนล้านบาทแล้ว มั่นใจว่าจะสามารถจัดเก็บหนี้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ สนับสนุน ผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรเติบโตอย่างโดดเด่น พร้อมวางเป้าหมายการเติบโตปี 2560 อยู่ที่ 30% จากปีก่อน