ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว EcoStruxure™ แพลตฟอร์ม สถาปัตยกรรมการจัดการพลังงานล้ำยุค หนุนองค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรมก้าวสู่ Thailand 4.0 เต็มรูปแบบ
- สถาปัตยกรรมระบบการทำงานแบบเปิด และแพลตฟอร์ม IoT เพื่อมอบมูลค่าเพิ่มขึ้นด้านความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ ประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และการเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน สำหรับลูกค้าในกลุ่มอาคารสำนักงาน (Building) โครงข่ายไฟฟ้าเพื่อเมืองอัจฉริยะ (Grid) อุตสาหกรรม และดาต้าเซ็นเตอร์
- เปิดตัวศูนย์ Customer Experience Center ใหม่เพื่อโชว์เคส EcoStruxure™ แพลตฟอร์ม และสาธิตลำดับขั้นของโพรดัคส์ที่เชื่อมเข้าหากัน การควบคุมปลายทาง แอพพลิเคชันและการวิเคราะห์ข้อมูล
- วางเป้าหมายเพื่อช่วยอง์กรธุรกิจทุกภาคส่วน ตลอดจนกลุ่มอุตสาหกรรมให้สามารถใช้ IoT เพื่อการดำเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รองรับนโยบาย Thailand 4.0
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น เปิดตัว EcoStruxure™ สถาปัตยกรรม และแพลตฟอร์มเพื่อการจัดการพลังงานล้ำยุค พร้อมเปิดCustomer Experience Center โชว์เคสนวัตกรรมสถาปัตยกรรมการจัดการพลังงานในอนาคต สาธิตรูปแบบการใช้งานจริง IoT เพื่อตอบโจทย์ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมให้กับทั้งพันธมิตรและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยเฉพาะตามแนวนโยบาย Thailand 4.0
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผสานพลังงาน ระบบการทำงานโดยอัตโนมัติ ซอฟต์แวร์และการวิเคราะห์ข้อมูลเข้าด้วยกันเพื่อการนำ IoT เข้ามาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อสนองตอบต่อเทรนด์โลกด้าน 1) ความต้องการด้านการใช้พลังงานไฟฟ้า (More Electric) จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่า 2 เท่าภายในปี 2040 2) การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบดิจิทัลมากยิ่งขึ้น (More Digitized) ด้วยจำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบที่จะสูงกว่าจำนวนประชากรถึง 20 เท่า 3) การลดปริมาณก๊าซคาร์บอนที่เพิ่มมากขึ้น (More Decarbonized) ด้วยอัตรา 82 เปอร์เซ็นต์ของศักยภาพเชิงเศรษฐศาสตร์ด้านประสิทธิภาพการจัดการพลังงานในอาคาร และมากกว่าครึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมยังไม่เคยใช้ระบบการจัดการพลังงาน และ 4) การมีศูนย์จ่ายพลังงานที่เพิ่มขึ้น (More Decentralized) โดยภายในปี 2040 ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของกำลังการผลิตใหม่จะอยู่ในรูปของพลังงานทดแทน (Renewable)
EcoStruxure™ ช่วยให้โซลูชันด้าน IoT สามารถต่อเชื่อม เก็บข้อมูล วิเคราะห์ และดำเนินการด้านข้อมูลได้ในแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ และความยั่งยืน โดยตัวแพลตฟอร์มถูกนำไปใช้ในอาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ โรงงานอุตสาหกรรม และในโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อเมืองอัจฉริยะ (Grid) ทั้งในอาคาร และบนคลาวด์ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับระบบการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ที่ติดตั้งมาล่วงหน้าในทุกระดับของผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมเข้าด้วยกัน ในการควบคุมอุปกรณ์ปลายทาง ในแอพพลิเคชันและการวิเคราะห์ และในการบริการ
นายทอมมี่ เหลียง ประธานบริษัท ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกและญี่ปุ่น กล่าวว่า “การเติบโตอย่างมหาศาลของ IoT กำลังพาโลกของเรามุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ องค์กรธุรกิจทั่วโลกต่างนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานเพื่อเพิ่มศักยภาพ และประสิทธิภาพในการแข่งขัน การมาถึงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ต้องการเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ”
“สำหรับชไนเดอร์ อิเล็คทริค IIoT ไม่ใช่สิ่งใหม่ ไม่ใช่การปฏิวัติแต่เป็นวิวัฒนาการ เราคือผู้บุกเบิกระบบการควบคุมแบบกระจายแบบดิจิทัล (DCS) ตัวแรกที่เปิดตัวไปในปี 1987 ซึ่งเป็นเวลาหลายปีก่อนที่ World Wide Web จะเกิดขึ้นเสียอีก สำหรับเรา IIoT คือการบูรณาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เข้ากับเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (OT) เพื่อสร้างการควบคุม และการนำข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจมาต่อยอด ดังนั้น EcoStruxure คือแพลตฟอร์ม สถาปัตยกรรม และแผนกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถใช้ประโยชน์จาก IoT เพื่อการดำเนินงานแบบอัจฉริยะแบบเรียลไทม์ด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย”
“เราพัฒนา EcoStruxure ในฐานะของ IoT แพลตฟอร์มพร้อมสถาปัตยกรรมแบบเปิดที่สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ลูกค้ามีอยู่เพื่อสร้างความความปลอดภัย เสริมประสิทธิภาพ และความยั่งยืนในการทำงาน แพลตฟอร์มของเราสามารถรองรับได้ทั้งอาคาร โครงข่ายไฟฟ้า อุตสาหกรรม และดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งนับเป็นกลุ่มที่ใช้พลังงานกว่า 70% ของการใช้พลังงานทั่วโลก ด้วยเทคโนโลยี IoT ที่ทันสมัย EcoStruxure มาพร้อมกับโมบิลิตี้และเทคโนโลยีทางด้านคลาวด์ ระบบการวิเคราะห์ และการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์”
นายมาร์ค เพลิทเยร์ ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย กล่าวว่า “บริษัทได้สร้าง Customer Experience Center ขึ้นเพื่อเป็นโชว์รูมนำเสนอ และสาธิตการทำงานของ EcoStruxure เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพอย่างชัดเจนของทำงานของ IIoT ว่าจะเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สร้างความยั่งยืน ตลอดจนเสริมสมรรถนะของสินทรัพย์ และเพิ่มผลิตผลการทำงานให้แก่ลูกค้าได้อย่างไร โดยโชว์รูมจะแบ่งออกเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ อาคาร โครงข่ายไฟฟ้าเพื่อเมืองอัจฉริยะ อุตสาหกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์ และบ้านที่อยู่อาศัย”
ทั้งนี้ การเปิดตัว EcoStruxure พร้อมกับการเปิดศูนย์ Customer Experience Center เป็นไปเพื่อสอดคล้องกับแนวนโยบาย Thailand 4.0 โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย ตั้งเป้าหมายในการให้การสนับสนุนเพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งหมดประสบความสำเร็จในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติผ่านการใช้งาน IoT
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่ได้รับการกระตุ้นด้วยนโยบาย Thailand 4.0 ของภาครัฐ ที่ต้องการสนับสนุนให้องค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรมในทุกภาคส่วนเดินหน้าดำเนินธุรกิจไปในแนวทางเดียวกับเป้าหมายในระดับประเทศด้วยการให้การสนับสนุนทางด้านต่างๆ อาทิ การละเว้นภาษีในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรม ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next-Generation Automotive) 2.อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) 3.อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Affluent, Medical and Wellness Tourism) 4.การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (Agriculture and Biotechnology) 5.อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (Food for the Future) 6.อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) 7.อุตสาหกรรมการบิน และโลจิสติกส์ (Aviation and Logistics) 8.อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ และเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals) 9.อุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital) 10.อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub)
ชไนเดอร์ อิเล็คทริคเชื่อมั่นว่า EcoStruxure สามารถทำงานได้บนทุกแพลตฟอร์ม และยังเป็นโซลูชันที่ทุกอุตสาหกรรมต่างมองหา โดยตัวแพลตฟอร์มได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความท้าทายของลูกค้าในการนำ IoT โซลูชันเข้ามาใช้งานโดยไม่ติดขัด ในราคาที่เหมาะสม และสามารถเพิ่มขีดความสามารถเพื่อรองรับการทำงานในอนาคต
“เราคือหนึ่งในไม่กี่บริษัทในอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจด้วยการจับมือร่วมกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งเพื่อสร้างศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญทั้งในด้านพลังงาน เทคโนโลยี และอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้เราสามารถที่จะถ่ายทอดความรู้ใหม่ล่าสุดให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างก้าวกระโดดของทั้งเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่มีตลอดเวลา และนอกเหนือจากการสร้างโชว์รูมแล้ว เรายังมีรถ Smart Solution Delivery ซึ่งเป็นเสมือนโชว์รูมเคลื่อนที่ เพื่อให้สามารถนำโซลูชันของเราบางส่วนลงพื้นที่ต่างๆ เพื่อนำเสนอลูกค้าในเชิงรุก ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับเทคโนโลยีของเราได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม” นายมมาร์ค กล่าว
“ในยุคของ Thailand 4.0 การใช้งานทางด้านเทคโนโลยีสามารถช่วยให้ธุรกิจทุกประเภทสามารถเพิ่มทั้งประสิทธิภาพในการทำงานและผลผลิต ทั้งยังสามารถช่วยลดต้นทุนได้ในหลายด้าน รวมถึงต้นทุนด้านเวลาได้ในเวลาเดียวกัน ทั้งหมดนี้คือปัจจัยที่จะก่อให้เกิดผลกำไรให้กับองค์กรซึ่งในทางกลับกันยังสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนในที่สุด
EcoStruxure™
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค วางเป้าหมายในการช่วยภาคธุรกิจต่างๆ และประเทศไทยให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจ และการดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว ตามแนวนโยบาย Thailand 4.0 ของภาครัฐ ด้วยการนำเสนอ EcoStruxure™: Innovation At Every Level แพลตฟอร์ม และสถาปัตยกรรมที่พัฒนาและออกแบบขึ้น เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจ ตลอดจนภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ในการควบคุมการจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชั่นด้วยโซลูชัน IIoT ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
EcoStruxure™ ประกอบไปด้วย 3 เลเยอร์หลัก ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ที่สามารถเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์ ไปถึงระบบตรวจสอบและควบคุมปลายทาง (Edge Control) ตลอดจนแอพพลิเคชัน ระบบวิเคราะห์ข้อมูล และบริการต่างๆ ซึ่งมาพร้อมกับคุณสมบัติที่เหนือชั้นด้านความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ ประสิทธิภาพการทำงาน ความยั่งยืน รวมถึงความสามารถในการเชื่อมต่อการทำงานร่วมกับฝ่ายปฏิบัติการที่มีการนำ IoT มาใช้งานตามคอนเซ็ปต์ Innovation At Every Level หรือนวัตกรรมในทุกระดับชั้น ดังนี้
- ลำดับชั้นแรกสร้างบนความสามารถหลักซึ่งเป็นจุดแข็งของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อการทำงานโดยมีระบบอัจฉริยะฝังอยู่ด้วยในตัวผลิตภัณฑ์ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เช่น เซ็นเซอร์ เบรกเกอร์ ไดร์ฟ และอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของวาล์ว เพื่อให้อุปกรณ์ทั้งหมดสามารถพูดคุยเชื่อมต่อกันได้ (Connected product)
- ชั้นต่อมาในส่วนของ Edge Control ซึ่งเป็นระบบควบคุมการเชื่อมต่อกับระบบงานส่วนปฏิบัติการ สามารถบริหารงานส่วนปฏิบัติการทั้งบนระบบงานปกติและบนคลาวด์ได้ตามความต้องการ รวมถึงให้แพลตฟอร์มในการควบคุมให้สามารถเข้าถึงระบบจากระยะไกล ระบบออโตเมชั่นแบบล้ำหน้า อีกทั้งให้ผู้ดูแลสามารถเข้ามาปรับเปลี่ยนคำสั่งในระบบได้ นอกจากนี้ยังรวมระบบป้องกันไฟร์วอลล์และระบบควบคุมเครือข่ายภายในไว้ด้วย เพื่อช่วยให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่โดยเฉพาะในเรื่องของแอพพลิเคชันสำคัญสำหรับธุรกิจ
- ชั้นสุดท้าย เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญทั้งซอฟต์แวร์ ระบบวิเคราะห์และการบริการ EcoStruxure ช่วยให้ใช้แอพพลิเคชันจากผู้จำหน่ายรายใดก็ได้ รวมถึงระบบวิเคราะห์และการบริการใช้งานได้อย่างกว้างขวางบนโปรโตคอล IP ระบบเปิด เพื่อทำงานร่วมกับระบบงาน ฮาร์ดแวร์ หรือระบบควบคุมใดก็ได้
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มั่นใจว่า EcoStruxure สามารถทำงานได้ทุกแพลตฟอร์ม และตอบโจทย์ทุกอุตสาหกรรมที่ต้องการ ซึ่งได้แบ่งเป็น EcoStruxure สำหรับอาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ อุตสาหกรรม และโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อเมืองอัจฉริยะหรือ กริด ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าว ลูกค้า หรือผู้ที่สนใจ สามารถที่จะเข้ามาชมได้ที่โชว์รูมของชไนเดอร์ อิเล็คทริค
# # #
Factsheet
เมกะเทรนด์ที่ก่อให้เกิดความต้องการด้านพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก กำลังถูกขับเคลื่อนโดยแนวโน้ม หรือเมกะเทรนด์ 3 ประการ นั่นคือเรื่องของการเติบโตของสังคมเมือง (Urbanization) การเติบโตขึ้นของระบบดิจิทัล (Digitization) และการเติบโตขึ้นของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในประเทศเศรษฐกิจใหม่ (Growing trend of industrialization in new economies)
- ภายในปี 2050 สังคมเมือง (Urbanization) ทั่วโลกจะขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยจะมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมากกว่า 2,500 ล้านคน
- ด้วยการใช้งานที่เพิ่มขึ้น และการขยายตัวของระบบดิจิทัล (Digitalization) เป็นที่คาดว่าอุปกรณ์ที่ต่อเชื่อมเข้าหาระบบจะมีสูงถึง 30,000 ล้านชิ้น ภายในปี 2020
- การเติบโตขึ้นของเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (Industrialization) ในประเทศเศรษฐกิจใหม่ จะทำให้การใช้งานด้านพลังงานเพิ่มขึ้นอีกกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2050
ความท้าทายด้านพลังงานในปี 2050 หรืออีก 40 ปีข้างหน้าเมื่อเทียบกับตัวเลขในปี 2009
- การใช้ใช้พลังงานจะเพิ่มปริมาณขึ้น 1.5 เท่า
- การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีเป้าหมายที่จะต้องลดลงครึ่งหนึ่ง
- การดำเนินงานต้องมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 3 เท่า
แนวโน้มของโลกพลังงานใหม่ประกอบด้วย
- More Electric:
- ความต้องการด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่า 2 เท่าภายในปี 2040
- ปริมาณการใช้งานพลังงานสีเขียว (Green Energy) จะเพิ่มสูงขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ในอีก 25 ปีข้างหน้า
- More Digitized
- การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบดิจิทัลที่มากยิ่งขึ้น ด้วยจำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบที่สูงกว่าจำนวนประชากรถึง 20 เท่า
- More Decarbonized
- การลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มมากขึ้นด้วยอัตรา 82 เปอร์เซ็นต์ของศักยภาพเชิงเศรษฐศาสตร์ด้านประสิทธิภาพการจัดการพลังงานในอาคาร และมากกว่าครึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมยังไม่เคยใช้ระบบการจัดการพลังงาน
- More Decentralized
# # #
เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านระบบการบริหารจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชั่น โดยรายได้ประจำปีงบประมาณ 2559 คิดเป็นมูลค่า 24.7 พันล้านยูโร บริษัทฯ มีพนักงาน 160,000 คนไว้คอยให้บริการลูกค้าในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก เพื่อช่วยให้ลูกค้าบริหารจัดการพลังงานและกระบวนการทำงานได้อย่างปลอดภัย มีเสถียรภาพ ประสิทธิภาพ และสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ นับตั้งแต่สวิทช์ไฟแบบเรียบง่ายที่สุด ไปจนถึงระบบการทำงานที่ซับซ้อน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นเจ้าของเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ และการบริการที่ช่วยให้ลูกค้ายกระดับประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการ และการดำเนินงานได้แบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อของเรา จะช่วยปรับโฉมอุตสาหกรรม เปลี่ยนเมือง และช่วยให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “Life is On” www.schneider-electric.com/th