นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด จัด The Private Preview ครั้งแรกในประเทศไทย กับกระทิงดุ Lamborghini Aventador S: ยกระดับมาตรฐานใหม่ในตลาดซุปเปอร์คาร์ก่อนเปิดตัวที่ Geneva Motor Show 2017 เริ่มต้นที่ 38.7 ล้านบาท
- โฉมใหม่ของรถสปอร์ตรุ่นสูงสุดของค่าย Lamborghini ที่ใช้เครื่องยนต์วี12
- การออกแบบที่โดดเด่นและมีสไตล์ซึ่งเน้นไปที่สมรรถนะในด้านหลักอากาศพลศาสตร์
- ระบบเลี้ยวแบบ 4 ล้อรุ่นใหม่
- ความยอดเยี่ยมของระบบช่วงล่างและระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ขับสามารถเลือกออกแบบและปรับเซ็ตการทำงานได้ตามความต้องการ
- เครื่องยนต์วี12 แบบไม่พึ่งระบบอัดอากาศที่ได้รับการพัฒนาให้มีกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นจนมีตัวเลขอยู่ที่ 740 แรงม้า
- อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลา 2.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง
กรุงเทพ - บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้แทนจัดจำหน่ายแลมโบกินี่ อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดงาน The Private Preview of Lamborghini Aventador S – DARE YOUR EGO ณ โรงแรมสุโขทัย โดยเริ่มต้นราคากระทิงดุ ต้นตำรับเครื่องยนต์ 12 สูบอัดกำลัง 740 แรงม้า เริ่มต้น ที่ 38.7 ล้านบาท
รูปโฉมใหม่ของรถสปอร์ตรุ่นใหญ่จากค่าย Lamborghini อย่าง Aventador S เครื่องยนต์ 12 สูบวางกลาง ระบบ N/A ที่เรียกได้ว่าไม่มีคู่แข่ง โดยเป็นรุ่นเดียวในโลก มาพร้อมกับความสวยและโดดเด่นด้วยงานออกแบบรูปลักษณ์ภายในใหม่ ที่เน้นเรื่องสมรรถนะในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ ระบบช่วงล่างที่มีการพัฒนาขึ้นใหม่ การเพิ่มกำลังและพลวัตรในการขับขี่ โดยคำว่า S ที่ถูกต่อท้ายชื่อรุ่นนั้นแสดงให้เห็นการพัฒนาและปรับปรุงจากรุ่นเดิม และเป็นการแสดงให้เห็นถึงการยกระดับมาตรฐานใหม่ให้กับรถสปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์วี12 ของ Lamborghini
"นี่คือเจนเนอเรชั่นใหม่ของ Aventador และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่โดดเด่นของเราในตลาดซูเปอร์คาร์ในแง่ของการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ และสมรรถนะในการขับขี่" Stefano Domenicali ประธาน และ CEO ของ Automobili Lamborghini กล่าว Aventador S มาพร้อมกับงานออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงความล้ำหน้า การใช้เทคโนโลยีในระดับสูง และพลวัตรในการขับขี่ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกผสมผสานกันอย่างลงตัว และเป็นการยกระดับ คอนเซ็ปต์ของซูเปอร์คาร์ให้ก้าวขึ้นสู่อีกขั้น
วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า "เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในประเทศต้นๆที่ได้นำ Lamborghini Aventador S ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดที่แรงและเร็วที่สุดของ แลมโบร์กินี มาให้ลูกค้าได้สัมผัสก่อนใครในงาน The Private Preview of Aventador S - Dare Your EGO ในครั้งนี้ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ งาน Geneva Motor Show 2017 ซึ่งLamborghini Aventador S นั้นเป็นเสมือนรุ่นไฮไลท์ของ Lamborghini มาพร้อมเครื่องยนต์ 12 สูบวางกลาง ระบบ N/A ที่เรียกได้ว่าไม่มีคู่แข่งและนับเป็นรุ่นเดียวในโลก โดยรุ่น Aventador นั้นได้ถูกผลิตมาแล้วถึง 5 รุ่นและอีก 2 รุ่นพิเศษ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากทั่วโลก และแน่นอนว่าในตลาดของเมืองไทยก็เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่แฟนพันธุ์แท้ของ Aventador ต่างรอคอย"
"นิชคาร์เปิดราคารุ่น Lamborghini Aventador S อยู่ที่ 38.7 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงลูกค้าจะได้ครอบครองรถที่มีสมรรถนะเทียบเท่ากับไฮเปอร์คาร์ในราคาซุปเปอร์คาร์ ทั้งนี้ โควต้าของรุ่น Aventador S สำหรับเมืองไทยมีจำนวนจำกัด สาวกแลมโบร์กินีจึงไม่ควรที่จะพลาดสำหรับรุ่นนี้ และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่านิชคาร์จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในการส่งมอบแลมโบร์กินีให้กับแฟนๆในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรายังยึดมั่นในการมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราต่อไป โดยช่างผู้มีประสบการณ์ และเครื่องมือ diagnostic สำหรับดูแล เพื่อเป็นการพัฒนาการขายและการบริการของนิชคาร์กรุ๊ป ให้เทียบเท่ามาตรฐานของ Lamborghini Automobili S.p.A. ต่อไป” วิทวัส กล่าวทิ้งท้าย
การออกแบบและหลักอากาศพลศาสตร์
การออกแบบของ Lamborghini Aventador S ใหม่แสดงให้เห็นถึงแนวทางและรูปแบบในการออกแบบของเจเนอเรชั่นต่อไปของ Aventador อย่างชัดเจน ตัวรถมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงบนรูปลักษณ์ภายนอกหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนตัวถังด้านหน้าและด้านท้าย ขณะที่ภาพรวมของตัวรถยังคงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ Aventador เอาไว้ ทุกชิ้นส่วนที่มีการปรับแต่งนั้นได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเป้าหมายในเรื่องการประสบความสำเร็จในด้านประสิทธิภาพทางด้านหลักอากาศพลศาสตร์ ขณะที่ยังคงตอบสนองในแง่ภาพลักษณ์ของ Aventador ที่เต็มไปด้วยเรี่ยวแรงพลังในการขับเคลื่อน ยิ่งไปกว่านั้น ศูนย์ออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังได้ออกแบบบางชิ้นส่วนบนตัวรถโดยผสมผสานเอกลักษณ์ดั้งเดิมของรถสปอร์ตรุ่นดังของค่ายเข้าไว้ด้วยกัน เช่น แนวของเส้นตัวถังบนซุ้มล้อหลังที่มีลักษณะคล้ายกับรถสปอร์ตในอดีตอย่าง Countach
ตัวถังด้านหน้ามีความดุดันมากขึ้น และมีการติดตั้งแผ่นรีดอากาศที่มีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งจะช่วยในเรื่องการควบคุม ทิศทางการไหลของลม ขณะที่รถกำลังแล่นเพื่อประสิทธิภาพในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้น รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการระบายความร้อนของเครื่องยนต์และหม้อน้ำ ท่อนำอากาศ 2 ท่อที่ติดตั้งอยู่ด้านข้างกันชนหน้า จะช่วยลดแรงต้านที่ส่งผลต่อความเพรียวลมตรงบริเวณที่ยางของล้อหน้า และยังช่วยทำให้อากาศมีการไหลเข้าสู่หม้อน้ำที่อยู่ทางด้านท้ายได้ดีขึ้น
ทางด้านท้ายของ Aventador S มีความโดดเด่นด้วยชุดรีดอากาศ Diffuser ที่มีสีดำขนาดใหญ่ และผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมรูปทรงที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งประกอบไปด้วยครีบที่วางตัวในแนวตั้งหลายชิ้นซึ่งทั้งหมดจะส่งผลต่อทิศทางการไหลของลม ช่วยลดแรงฉุดที่เกิดขึ้นในขณะที่รถกำลังแล่น และสามารถสร้างแรงกดบนตัวถัง โดยที่ตำแหน่งปลายท่อไอเสียบนกันชนท้ายประกอบไปด้วยถึง 3 ปลายท่อ
สปอยเลอร์ด้านหลังสามารถปรับได้ 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้และโหมดการขับขี่ที่ถูกเลือก ซึ่งระดับการยกตัวของสปอยเลอร์หลังจะมีผลต่อความสมดุลโดยรวมของตัวรถ และทำงานร่วมกับตัวสร้างกระแสลมหมุน หรือ Vortex Generator ซึ่งอยู่ในตำแหน่งด้านล่างของระบบช่วงล่างด้านหน้าและหลังในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของกระแสลมได้อย่างสูงสุด เช่นเดียวกับการช่วยระบายความร้อนให้กับระบบเบรก
จากความโดดเด่นของงานออกแบบที่มีอยู่ใน Aventador S นั้นสามารถยกระดับประสิทธิภาพทางด้านหลักอากาศพลศาสตร์ได้เป็นอย่างดี แรงกดบนตัวถังด้านหน้าได้รับการปรับปรุงให้เพิ่มขึ้นถึง 130% เมื่อเปรียบเทียบกับ Aventador ตัวถังคูเป้รุ่นที่แล้ว และเมื่อแพนอากาศด้านหลังอยู่ในตำแหน่งที่มีประโยชน์สูงสุดในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ จะสามารถสร้างแรงกดบนตัวถังที่ดีขึ้นจากเดิมถึง 50% และลดแรงกระชากที่เกิดขึ้นบนตัวถังได้มากกว่า 400% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม
4 เทคโนโลยีระดับเยี่ยมเพื่อสุนทรีย์ในการขับขี่ที่แท้จริง : ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ, ระบบช่วงล่างแบบปรับระดับได้, ระบบเลี้ยว 4 ล้อ และโหมดการขับแบบใหม่ EGO Driving Mode
ระบบแชสซีส์ของ Aventador S ยังคงความโดดเด่นและไม่เหมือนใครของ Aventador เอาไว้ เช่นเดียวกับโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อก ที่มีความทนทานต่อการบิดตัวและมีน้ำหนักเบาเพราะผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ โดยโครงนี้จะเชื่อมต่อเข้ากับเฟรมตัวถังที่ผลิตจากอะลูมิเนียมซึ่งผลก็คือ ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเปล่า หรือ Dry Weight เพียง 1,575 กิโลกรัมเท่านั้น
Aventador S ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า ‘Total Control Concept’ เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพการขับขี่ในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของระบบช่วงล่าง หรือระบบควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งอยู่ในตัวรถนั้นล้วนได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า โดยมีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องของการส่งมอบอารมณ์ในการขับขี่และการควบคุมรถที่ยอดเยี่ยม
ในส่วนของระบบควบคุมอื่นๆที่ติดตั้งในตัวรถนั้น มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นใหม่ ซึ่งมีการติดตั้งเป็นครั้งแรกให้กับรถสปอร์ตในสายการผลิตของ Lamborghini โดยระบบนี้จะช่วยปรับปรุงในเรื่องความคล่องตัวของตัวรถเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำและปานกลาง และจะยิ่งมีการทรงตัวที่ดีขึ้นในช่วงความเร็วสูง สิ่งที่อยู่บนเพลาหน้าคือการผสมผสานการทำงานของระบบ Lamborghini Dynamic Steering (LDS) ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นเช่นเดียวกับการตอบสนองที่ฉับไวเวลาที่เผชิญหน้ากับโค้ง และสอดประสานการทำงานอย่างเป็นพิเศษกับระบบบังคับเลี้ยวของล้อหลัง หรือ Lamborghini Rear-wheel Steering (LRS) โดยจะมีตัวควบคุมที่แยกการทำงานต่างหาก 2 ชุด และตอบสนองในการทำงานที่รวดเร็วเพียง 0.005 วินาที หลังจากที่มีการหักพวงมาลัย ทำให้ตัวระบบสามารถทำงานภายใต้มุมการเลี้ยวที่ใกล้เคียงกับสภาพที่เกิดขึ้นจริง และมีการปรับปรุงการยึดเกาะที่ดีเมื่อเข้าโค้ง
เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ ล้อหลังจะมีการหักเลี้ยวในลักษณะที่ตรงข้ามกับมุมการเลี้ยวที่เกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ ทำให้ตัวรถมีความยาวของระยะฐานล้อลดลง และจากการที่ตัวรถต้องการมุมการเลี้ยวของพวงมาลัยลดลงนั้น ทำให้ Aventador S มีความคล่องตัวมากขึ้นเพราะมีรัศมีวงเลี้ยวที่ลดลง และให้ความมั่นใจกับสมรรถนะการเข้าโค้งที่ดีขึ้น และทำให้สามารถซอกซอนท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งของถนนในเมืองด้วยความคล่องตัว
เมื่ออยู่ในช่วงความเร็วสูงจะแตกต่างออกไป โดยทั้งล้อหน้าและล้อหลังจะหมุนไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับมุมการหมุนของพวงมาลัย ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ระยะฐานล้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้ตัวรถมีการทรงตัวที่ดี และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองการขับขี่ของตัวรถ การควบคุมในแนวดิ่งมาจากการปรับปรุงในส่วนของตัวก้านกระทุ้งในระบบช่วงล่าง และระบบช่วงล่างแบบ Lamborghini Magneto-rheological Suspension (LMS) โดยจะมีการทำงานร่วมกับระบบเลี้ยว 4 ล้อรุ่นใหม่ของตัวรถ การจัดวางชิ้นส่วนในระบบกันสะเทือนในเชิงเรขาคณิตมีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งก็เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง Lamborghini Rear-wheel Steering ซึ่งการปรับปรุงนี้มีทั้งในส่วนของปีกนกตัวบน ตัวล่าง และดุมล้อ ซึ่งจะช่วยลดมุมแคสเตอร์และลดภาระที่เกิดขึ้นกับระบบช่วงล่าง ระบบโช้คอัพที่มีการปรับระดับความหนืดแบบ Real-time ให้สอดคล้องกับสภาพการขับขี่จะช่วยควบคุมล้อและตัวถัง ให้สามารถอยู่ในระดับที่สมดุลและให้ระดับการยึดเกาะที่สูงสุด นอกจากนั้นสปริงชุดใหม่ที่ล้อหลังยังช่วยควบคุมการ สมดุลของตัวรถได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
สำหรับการควบคุมในแนวราบนั้นเป็นผลมาจากการปรับปรุงการทำงานของระบบ ESC ให้มีความแม่นยำมากขึ้น และรวดเร็วขึ้นในการควบคุมการยึดเกาะและพลวัตรในการขับเคลื่อนของตัวรถ จากการทดสอบอย่างยาวนานบนพื้นผิวที่หลากหลายทั้งบนหิมะและน้ำแข็ง Aventador S ได้รับการปรับปรุงในเรื่องของการยึดเกาะและสามารถตอบสนองด้วยประสิทธิภาพสูงสุดในทุกสภาพพื้นผิวถนน และยังช่วยเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมรถได้อีกด้วย ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบถาวรของ Aventador S ได้รับการปรับแต่งเพื่อสมรรถนะในการทรงตัวและยึดเกาะสูงสุดซึ่งเป็นผลมาจากระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering ทำให้สามารถส่งผ่านแรงบิดจากเครื่องยนต์ได้มากขึ้น โดยเมื่อมีการถอนคันเร่ง แรงบิดที่ถูกถ่ายทอดไปล้อหน้าจะลดลง และทำให้ตัวรถมีลักษณะการขับคล้ายกับท้ายปัด หรือ Oversteer แต่ทว่ามีความปลอดภัยและมั่นใจได้อย่างเต็มที่
วิศวกรของ Lamborghini ยังได้ติดตั้งหน่วยควบคุมและประมวลผลที่มีความเป็นอัจฉริยะอย่าง Lamborghini Dinamica Veicolo Attiva (LDVA) เข้าไปในตัวรถเพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ โดย LDVA คือสมองชุดใหม่ของตัวรถ ซึ่งจะรับข้อมูลการเคลื่อนที่ของตัวรถแบบ Real-time และมีความแม่นยำมากขึ้นผ่านทางข้อมูลต่างๆ ที่ถูกส่งมาจากเซ็นเซอร์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ตามจุดต่างๆในตัวรถ ทำให้มั่นใจว่าตัวระบบได้รับการตั้งค่าระบบต่างๆ เพื่อให้มีการทำงานที่ดีที่สุด และการันตีว่าระบบควบคุมการขับเคลื่อนของตัวรถจะทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมภายใต้ทุกสภาพการขับขี่
EGO Concept : ปรับแต่งรูปแบบการขับตามใจคุณ
Aventador S เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการทำงานของระบบเพื่อสอดคล้องกับการขับขี่ได้ถึง 4 แบบด้วยกัน คือ STRADA, SPORT, CORSA และแบบใหม่ล่าสุดคือ EGO Mode ซึ่งทั้งหมดจะมีการปรับปรุงในส่วนรูปแบบการทำงานของระบบการยึดเกาะ (เครื่องยนต์, เกียร์ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ) ระบบบังคับเลี้ยว (LRS, LDS และ Servotronic) และระบบช่วงล่าง (LMS)
STRADA เป็นตัวแทนของความสะดวกสบายสูงสุดและเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน SPORT คือ ความสปอร์ตในการขับที่ให้สัมผัสในรูปแบบของการขับเคลื่อนล้อหลัง และ CORSA คือ การปรับแต่งระบบให้รองรับกับการใช้งานในสนามด้วยสมรรถนะสูงสุด
สำหรับ EGO เป็นรูปแบบการขับใหม่ที่เพิ่มเข้ามา โดยภายใต้โหมดการทำงานนี้จะมีการเพิ่มหลากหลายรูปแบบการปรับเซ็ตที่มีสไตล์เฉพาะตัว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการปรับแต่งโดยผู้ขับเอง โดยสามารถเลือกตั้งค่าการทำงานในด้านการยึดเกาะ การบังคับเลี้ยว การขับขี่นุ่มนวลและดุดันให้ผู้ขับสามารถปรับโหมดได้ตามสไตล์การขับขี่ และระบบช่วงล่างจากโหมดทั้ง 3 คือ STRADA, SPORT และ CORSA ได้ตามใจชอบ
ทุกรูปแบบการขับจะได้รับการปรับและกำหนดค่าใหม่อีกครั้งใน Aventador S โดยมีการปรับปรุงในส่วนการทำงานของระบบ ESC และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ รวมถึงการจัดการในส่วนการกระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์ และการตอบสนองของระบบควบคุมการยึดเกาะ การกระจายแรงบิดสู่เพลาหน้าและหลังอย่างต่อเนื่องในแต่ละโหมดการขับขี่จะได้รับการปรับแต่งใหม่สำหรับระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering และความแตกต่างระหวางโหมดการขับแบบต่างๆ จะได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้น
ในโหมด STRADA การทำงานของโช้กอัพจะมีความต่อเนื่องและเน้นความนุ่มนวลเพื่อตอบสนองในเรื่องของความสะดวกสบาย และการทรงตัวที่ดีเมื่อขับอยู่บนถนนที่ขรุขระ แรงบิดจะถูกกระจายสู่ล้อหน้าและหลังในอัตราส่วน 40/60 อีกทั้งยังให้ความปลอดภัยและการทรงตัวที่ดีด้วยสมรรถนะการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม และตัวรถจะสามารถตอบสนองต่อ การขับที่สะดวกและควบคุมง่าย
ในโหมด SPORT ผลของการทรงตัวมาจากการทำงานของ Lamborghini Rear-wheel Steering ซึ่งจะเปิดโอกาสให้แรงบิดจำนวนมากถึง 90% จากเครื่องยนต์ถูกส่งมายังล้อหลังเพื่อความสปอร์ตอย่างสูงสุด และให้ความสนุกสนานเมื่อทะยานอยู่บนถนนที่คดเคี้ยว ความแม่นยำในการขับและการตอบสนองไปยังผู้ขับขี่ของตัวรถได้รับการปรับปรุง ขณะเดียวกันยังคงความปลอดภัยและให้ความสะดวกสบายในการขับขี่เช่นเดิม เมื่อมีการถอนคันเร่ง จะมีการส่งแรง บิดจำนวนเล็กน้อยไปยังเพลาขับล้อหน้าเพื่อช่วยทำให้ตัวรถมีความคล่องตัว และสามารถสัมผัสอาการท้ายปัด หรือ Oversteer และการดริฟท์ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ และควบคุมพวงมาลัยเท่านั้น
ในการขับแบบ CORSA ผู้ขับสามารถสัมผัสประสบการณ์การขับขี่แบบไม่ต้องพึ่งระบบการทำงานที่ควบคุมในเรื่อง ของพลวัตรในการขับเคลื่อนและการทรงตัวของตัวรถมากนัก ขณะเดียวกันก็ยังคงความแม่นยำและการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมเหมือนเดิม การทำงานของโช้กอัพในระดับที่สูงสุดจะช่วยทำให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสอาการและการตอบสนอง กลับจากการใช้พวงมาลัย การเบรก และการกดคันเร่งได้อย่างเต็มที่ การทำงานระบบการเลี้ยวได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้นภายใต้การใช้งานที่เน้นสมรรถนะสูง และจะมีการส่งแรงบิดที่สมดุลระหว่างล้อหน้าและหลัง โดยจะมีการกระจายแรงบิดออกมาในสัดส่วน 20/80 ระหว่างเพลาหน้าและหลังเพื่อให้รูปแบบการขับที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น และเพื่อตอบรับกับการขับในสนามได้อย่างเต็มที่
เครื่องยนต์และระบบไอเสีย
เครื่องยนต์แบบ 12 สูบ 6.5 ลิตรที่ติดตั้งใน Lamborghini Aventador S เป็นแบบไม่พึ่งระบบอัดอากาศ และได้รับการปรับปรุงให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 40 แรงม้าจากรุ่นเดิม จนสามารถทำกำลังได้ถึง 740 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ ทั้งระบบวาล์วแปรผัน VVT(Variable Valve Timing) และระบบปรับความยาวของชุดท่อไอดี VIS (Variable Intake System) ได้รับการปรับปรุงการทำงานเพื่อเป้าหมายในการสร้างแรงบิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น รอบการทำงานสูงสุดของเครื่องยนต์ถูกเพิ่มจาก 8,350 มาเป็น 8,500 รอบ/นาที และด้วยน้ำหนักรถเปล่าเพียง 1,575 กิโลกรัม ทำให้อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าของตัวรถอยู่ที่ 2.13 กิโลกรัมต่อแรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใช้เวลาเพียงแค่ 2.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบส่งกำลังเป็นแบบ ISR- Independent Shifting Rod แบบ 7 จังหวะซึ่งชุดเกียร์มีน้ำหนักเบา และมีการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติที่ฉับไวเพียง 0.05 วินาทีเท่านั้น
Aventador S ได้รับการติดตั้งชุดท่อไอเสียใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากการทำงานอันโดดเด่นของศูนย์วิจัยและพัฒนา ชุดท่อจึงมีน้ำหนักเบากว่าที่ติดตั้งในรุ่นเดิมถึง 20% และผ่านการทดสอบหลากหลายขั้นตอน และให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจในด้านการตอบสนองของเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini ที่มาจากเครื่องยนต์วี12 ซึ่งไม่อาศัยระบบอัดอากาศ โดยจะมีการใช้ชุดปลายท่อไอเสียแบบรวมเป็นชุดเดียวกันแต่มี 3 ปลายท่อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจัดวางรูปแบบใหม่ของชุดปลายท่อไอเสียของ Lamborghini
เช่นเดียวกันกับรุ่นก่อนหน้านี้ Aventador S ได้รับการติดตั้งระบบ Stop-and-Start ซึ่งจะดับเครื่องยนต์และสตาร์ทขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เช่นเดียวกับระบบ Cylinder Deactivation ที่จะหยุดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ากระบอกสูบจำนวนครึ่งหนึ่งของจำนวนกระบอกสูบที่มีอยู่ในเครื่องยนต์ เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพในด้านความประหยัดน้ำมันและลดมลพิษ โดยเมื่อเครื่องยนต์กำลังทำงานในลักษณะที่ไม่เน้นสมรรถนะ หรือรีดกำลังการทำงานอย่างเต็มรูปแบบ กระบอกสูบครึ่งหนึ่งของเครื่องยนต์ก็คือ 6 จาก 12 สูบจะหยุดการทำงานชั่วคราว โดยกระบอกสูบทั้ง 6 ที่หยุดการทำงานจะอยู่ในแนวของเสื้อสูบฝั่งเดียวกันของบล็อกเสื้อสูบแบบตัว V เมื่อผู้ขับขี่กดคัน เร่งเพื่อเพิ่มความเร็วอีกครั้ง เท่ากับว่าเป็นการแจ้งเตือนให้เครื่องยนต์กลับมาทำงานแบบเต็มระบบอีกครั้ง และจะทำงานแบบครบทั้ง 12 สูบ โดยการตัดสลับการทำงานของระบบนี้จะมีความนุ่มนวลและต่อเนื่อง ชนิดที่ผู้ขับขี่แทบไม่สามารถสังเกตได้เลยว่าตัวเครื่องยนต์กำลังอยู่ในโหมดไหน
ยางและระบบเบรก
Aventador S มาพร้อมกับของใหม่ทั้งชุดโดยเฉพาะในส่วนของยางที่มีความเป็นเอ็กซ์คลูซีฟ เพราะ Pirelli ได้พัฒนายางรุ่น P Zero ขึ้นมาเพื่อรถสปอร์ตรุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยมีการออกแบบเพื่อเน้นประโยชน์ในด้านการบังคับเลี้ยว การยึดเกาะ การเปลี่ยนเลนกะทันหัน และการเบรกที่มีประสิทธิภาพ ตัวยางได้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อตอบสนองต่อลักษณะและสไตล์การทำงานของตัวรถ ที่เน้นความคล่องตัวและฉับไวอันเป็นผลมาจากระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering เพื่อให้ผู้ขับมั่นใจได้ว่าสามารถควบคุมและบังคับตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงการถ่ายทอดกำลังขับเคลื่อนทั้งจากล้อหน้าและล้อหลัง ซึ่งยาง Pirelli P Zero สามารถรองรับกับการอัตราเร่ง ที่ฉับไว และลดอาการหน้าดื้อโค้งหรือ Understeer ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้น ในรุ่นนี้ยังมีการติดตั้งดิสก์เบรกแบบคาร์บอนเซรามิกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยดิสก์เบรกที่ผลิตจากคาร์บอนเซรามิกพร้อมกับรูระบายความร้อน (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 400 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 380 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง) จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการหยุดรถจากความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ให้หยุดสนิทโดยที่มีระยะเบรกเพียงแค่ 31 เมตรเท่านั้น
Aventador S : ใส่ใจทุกรายละเอียดรอบตัวคนขับ
ภายในห้องโดยสารของ Aventador S มาพร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่ๆ และการตกแต่งที่ประณีต ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการแสดงผลบนหน้าจอแบบ TFT ได้ตามความต้องการ และมาพร้อมกับหน้าจอย่อยที่ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับ STRADA, SPORT และ CORSA รวมไปถึงการทำงานแบบ EGO Mode หลังจากเลือกโหมดการขับขี่ที่ต้องการในแผงควบคุม ปุ่ม EGO ยังมีออพชั่นอื่นๆให้เลือกเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะแสดงผลบนหน้าจอเล็ก ให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกและปรับแต่งได้ตามความต้องการส่วนตัว
ตัวรถมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ AppleCarPlay เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวจากแบรนด์ Apple ของผู้ขับขี่ เพื่อสัมผัสความบันเทิงตลอดการเดินทาง อีกทั้งเพิ่มความสะดวกสบายด้วยระบบการสั่งงานด้วยเสียง
สิ่งที่เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษคือ ระบบส่งข้อมูลการขับเข้ามาเก็บในตัวรถ หรือ Telemetry System ซึ่งระบบนี้ ผู้ขับขี่ที่นำรถลงขับในแทร็คสามารถรับทราบข้อมูลการขับ เช่น เวลาต่อรอบ และสมรรถนะของตัวรถในการขับ ณ รอบนั้น เช่นเดียวกับข้อมูลการขับในด้านต่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเพิ่มความพิเศษและสอดคล้องกับรสนิยมของผู้ขับขี่แต่ละคน Aventador S ยังมีบริการการตกแต่งภายในรถแบบ customization ตามความชอบส่วนตัว ที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการผ่าน Lamborghini's Ad Personam Customization Program
รายละเอียดทางเทคนิค : Lamborghini Aventador S
แชสซีส์และตัวถัง
เฟรมตัวถัง : แบบโมโนค็อกผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ และมีตัวถังด้านหน้าและหลังผลิตจากอลูมิเนียม
ชิ้นส่วนตัวถัง : ส่วนฝากระโปรงด้านหน้าผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ สปอยเลอร์หลังสามารถปรับระดับได้ และมีช่องดักอากาศแบบยึดติดตายตัว ฝากระโปรงหน้า กันชนหน้า และประตูผลิตจากอลูมิเนียม ส่วนกันชนท้ายและฝาครอบวาล์วผลิตจาก SMC
รูปแบบระบบกันสะเทือน : ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังแบบก้านกระทุ้งปรับระดับได้ Magneto-rheological มา พร้อมโช้กอัพและสปริงวางตัวในแนวนอน
การจัดวางระบบกันสะเทือน : ทั้งด้านหน้าและหลังเป็นแบบอิสระ ปีกนกคู่ผลิตจากอลูมิเนียม
ระบบ ESP : ระบบควบคุมการทรงตัว/เอบีเอส ทำงานด้วยหน่วยประมวลผลของ Bosch 8.0 ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของ ESC ให้สอดคล้องตามโหมดการขับที่ถูกเลือก
ระบบเบรก : แบบไฮดรอลิก 2 วงจรคู่พร้อมหม้อลมเบรก ดิสก์ด้านหน้าและหลังเป็นแบบคาร์บอนเซรามิก (คาลิเปอร์หน้าแบบ 6 ลูกสูบ และ 4 ลูกสูบสำหรับด้านหลัง)
ดิสก์หน้าหลังแบบมีรูระบายความร้อน : คาร์บอนเซรามิกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 400 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 380 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง
ระบบบังคับเลี้ยว : มีเกียร์อัตราทดเฟือง 3 ระดับและมี Servotronic ควบคุมการทำงาน โดยจะทำงานร่วมกับระบบ Lamborghini Dynamic Steering (LDS) และ Lamborghini Rear-Wheel Steering (LRS) ซึ่งควบคุมผ่านทางโหมดการขับที่ถูกเลือกเอาไว้
อัตราทดเฟืองบังคับเลี้ยว : 10 : 1- 18 : 1
จำนวนรอบเมื่อหมุนพวงมาลัยจนสุด : 2.1-2.4 รอบ
เส้นผ่าศูนย์กลางของวงพวงมาลัย : 358 มิลลิเมตร
ยางด้านหน้า-หลัง : Pirelli P Zero 255/30 ZR20 - 355/25 ZR21
ขนาดล้อด้านหน้า-หลัง : 9” JX20” H2 ET 32.2 – 13” JX21” H2 ET 66.7
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด : 11.5 เมตร (37.73 ฟุต) เป็นค่าเฉลี่ย โดยจะแปรผันไปตามการใช้งาน ซึ่งเป็นผลมาจากระบบ LRS
กระจก : กระจกมองข้างมีระบบไล่ฝ้า สามารถปรับระดับและพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า
สปอยเลอร์หลัง : ปรับระดับได้ 3 ระดับขึ้นอยู่กับความเร็วและโหมดการขับที่เลือกใช้
ถุงลมนิรภัย : ฝั่งคนขับพองตัวได้ 2 ระดับ และสามารถปรับระดับได้สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า ตัวเบาะนั่งมีถุงลมนิรภัยป้องกันศีรษะและร่างกายส่วนบน และถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่าของผู้ขับขี่ ขึ้นอยู่กับตลาดบางแห่ง
เครื่องยนต์
แบบ : วี12 เสื้อสูบเอียงทำมุม 60 องศา และระบบ MPI
ความจุกระบอกสูบ : 6498 ซีซี (396.5 ลูกบาศก์นิ้ว)
กระบอกสูบXช่วงชัก : 95X76.4 มิลลิเมตร (3.74X3 นิ้ว)
จำนวนวาล์วต่อสูบ : 4 ตัว
ระบบควบคุมการทำงานของวาล์ว : ระบบวาล์วแบบปรับจังหวะการทำงานได้ ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์
อัตราส่วนการอัด :11.8 ± 0.2
กำลังสูงสุด : 740 แรงม้า (544 กิโลวัตต์) ที่ 8,400 รอบ/นาที
อัตราส่วนแรงม้าต่อลิตร : 113.9 แรงม้า/ลิตร (83.7 กิโลวัตต์/ลิตร)
แรงบิดสูงสุด : 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที
รอบเครื่องยนต์สูงสุด : 8,500 รอบ/นาที
อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนัก : 2.13 กิโลกรัม/แรงม้า
ระดับมลพิษในไอเสีย : EURO 6 –LEV2
ระบบควบคุมไอเสีย : อุปกรณ์บำบัดไอเสียแคตาไลติก คอนเวอร์เตอร์ พร้อม Lambda Sensors
ระบบระบายความร้อน : ระบบระบายความร้อนแบบใช้น้ำและน้ำมันไหลผ่าน พร้อมกับท่อไอดีแบบแปรผันความยาวได้
ระบบควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ : LIE - Lamborghini Iniezione Elettronica พร้อมกับระบบวิเคราะห์ ION
ระบบหล่อลื่น : อ่างน้ำมันเครื่องแยก (Dry Sump)
ระบบขับเคลื่อน
ประเภทของระบบส่งกำลัง : ขับเคลื่อน 4 ล้อพร้อมกับชุดเฟือง Haldex เจเนอเรชั่นที่ 4
ชุดเกียร์ : 7 จังหวะแบบ ISR มีการปรับรูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ในแต่ละตำแหน่งสอดคล้องกับ Mode การขับ
เกียร์ อัตราทด
- 3.909
- 2.438
- 1.810
- 1.458
- 1.185
- 0.967
- 0.844
เกียร์ถอย 2.929
อัตราทดเฟืองท้าย (หน้า-หลัง) 2.867-3.273
ชุดคลัตช์ คลัตช์แห้งแบบ 2 แผ่น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 235 มิลลิเมตร (9.25 นิ้ว)
สมรรถนะ
ความเร็วสูงสุด : 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง (217 ไมล์/ชั่วโมง)
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 2.9 วินาที
อัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 8.8 วินาที
อัตราเร่ง 0-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 24.2 วินาที
ระยะเบรกจาก 100-0 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 31 เมตร
มิติตัวถังและน้ำหนัก
ระยะฐานล้อ : 2,700 มิลลิเมตร (106.29 นิ้ว)
ความยาว : 4,797 มิลลิเมตร (188.86 นิ้ว)
ความกว้าง (ไม่รวมกระจก) : 2,030 มิลลิเมตร (79.92 นิ้ว)
ความสูง : 1,136 มิลลิเมตร (44.72 นิ้ว)
ความกว้างช่วงล้อ (หน้า-หลัง) : 1,720 มิลลิเมตร (67.71 นิ้ว) – 1,680 มิลลิเมตร (66.14 นิ้ว)
ความสูงใต้ท้องรถ (ปกติ-ยกสูง) : 115 ± 2 มิลลิเมตร (ด้านหน้ายกขึ้น 155 มิลลิเมตร)
น้ำหนักรถเปล่า : 1,575 กิโลกรัม (3,472 ปอนด์)
อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักด้านหน้า-หลัง : 43-57%
ความจุ
ถังน้ำมัน : 85 ลิตร
น้ำมันเครื่อง : 13 ลิตร
น้ำหล่อเย็นในระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ : 25 ลิตร
ความจุของพื้นที่เก็บสัมภาระ : 140 ลิตร
อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
ในเมือง : 26.2 ลิตร/100 กิโลเมตร
นอกเมือง : 11.6 ลิตร/100 กิโลเมตร
แบบผสม : 16.9 ลิตร/100 กิโลเมตร
การคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ : 394 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร
หมายเหตุ : ตามการทดสอบ Dir. 1999/100/CE
เกี่ยวกับ บริษัท นิชคาร์กรุ๊ป จำกัด
นิชคาร์กรุ๊ป คือ ผู้นำเข้ารถยนต์ระดับซุปเปอร์คาร์ สปอร์ตคาร์ และไฮเปอร์คาร์ ในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจเป็นเวลากว่า 30 ปี ภายใต้ชื่อเดิมคือ เบนซ์นครินทร์ ออโต้ กรุ๊ป ปัจจุบัน นิชคาร์กรุ๊ป ได้รวบรวมสุดยอดยนตรกรรมจากทั่วโลก อาทิ ซุปเปอร์คาร์ “แลมโบร์กินี” (Lamborghini) จากประเทศอิตาลี และสุดยอดสองสายพันธุ์จากประเทศอังกฤษที่รวมอยู่ใน Formula 1 “แมคลาเรน” (Mclaren) และ ซุปเปอร์คาร์พันธุ์คลาสสิก “โลตัส” (Lotus) รวมถึงไฮเปอร์คาร์สัญชาติอิตาลี “ปากานี” (Pagani) และไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดน “โคนิกเซ็กก์” (Koenigsegg) ราชันต์ออฟโรด “ฮัมเมอร์” (Hummer) จากอเมริกา พร้อมด้วยโชว์รูมถึงสองแห่ง คือ สาขาสยามพารากอน และ สาขามอเตอร์เวย์ กม.1 (เปิดบริการทุกวัน 8.30-17.30 น.) สามารถสอบถามข้อมูลและติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ นิชคาร์กรุ๊ป ได้ที่ โทร. 02-321-1111 หรือ Hotline 081-434-7777 หรือ https://www.facebook.com/nichecars/ และ https://www.facebook.com/LamborghiniTH/