ADS


Breaking News

KTAM ตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์ปี 60 โต 20% สร้างกองทุนครบเน้นจัด Asset Allocation

     นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2559 บริษัทยังคงครองอันดับ 3 ในอุตสาหกรรม โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ  ณ  วันที่ 30  ธันวาคม 2559 อยู่ที่ 750,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่โต 15% เพิ่มขึ้นจากกองทุนรวมมากที่สุดประมาณ 108,300 ล้านบาท หรือ 33% ในขณะที่อุตสาหกรรมโต 16.4% โดยเฉพาะกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น นอกจากนี้ ยังเพิ่มขึ้นจากกองทุนส่วนบุคคล 11,650 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 6,600 ล้านบาท เป็นต้น ทั้งนี้บริษัทประสบความสำเร็จ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนที่ดีจากธนาคารกรุงไทยในทุกๆด้าน ทำให้อัตราการเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
     ในปี 2560 บริษัทตั้งเป้าหมายโตเพิ่มขึ้น ประมาณ 20% โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดจำหน่ายกองทุนให้มีความหลากหลายมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดว่าไม่ต่ำกว่า 10 กองทุน บริษัทจะมีกองทุนที่ครบมากขึ้น ส่งผลให้การจัด Asset allocation ให้กับลูกค้า มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี ในแต่ละช่วงเวลาของภาวะเศรษฐกิจ อย่างเช่นปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ณ วันที่ 30  ธันวาคม 2559 กองทุน KT- Precious เพิ่มขึ้น  44% กองทุน KT- Mining เพิ่มขึ้น 59 % และจะมีการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายให้สามารถเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น โดยภายในไตรมาส 1 จะมีการเปิดจำหน่ายกองทุน CLMV และกองทุน China
     แนวโน้มการลงทุนในประเทศ ปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ 3.5% สูงกว่าปี 2559 ที่ขยายตัว 3.1% ปัจจัยสนับสนุนหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐ งบประมาณกลางปี 2560 วงเงิน 1.9 แสนล้านบาท ถือเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญ ให้เม็ดเงินเข้ามาไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น  ประกอบกับดอกเบี้ยในประเทศที่ต่ำ ถือว่าเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังน่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50% ตลอดปีนี้
     ส่วนเศรษฐกิจโลกคาดว่า จะมีแนวโน้มดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับมุมมองของ IMF ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะขยายตัวได้ 3.4% สูงกว่าในปี 2559 อยู่ที่  3.1% ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญมาจากเศรษฐกิจของกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมัน ที่น่าจะฟื้นตัวตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้น, อัตราเงินเฟ้อที่เริ่มสูงขึ้น และแรงกดดันเงินฝืดเริ่มหมดไป ผลักดันให้รายได้ของครัวเรือนปรับสูงขึ้นได้, สหรัฐฯหันมาใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น และดอกเบี้ยทั่วโลกแม้จะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นก็ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำและเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
     แนวโน้มการลงทุนในหุ้นคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์(SET Index) จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1400-1680 จุด โดยมีปัจจัยการลงทุนภายในประเทศจะเป็นปัจจัยสนับสนุน ทั้งภาวะของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ สภาพคล่องในตลาดการเงินที่ยังมีอยู่สูง อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ การเมืองที่ค่อนข้างสงบและการมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ค่าเงินบาทที่มีความผันผวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่จะส่งผลต่อเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า-ออก ภูมิภาคที่สำคัญ ได้แก่ นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสำคัญๆ และการปรับเปลี่ยนผู้นำทางการเมืองของประเทศเศรษฐกิจสำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ในขณะที่แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จะส่งผลกระทบต่อหุ้นที่ราคามีการเคลื่อนไหวตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ระดับดัชนี SET Index ในปัจจุบันเป็นระดับราคาที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น การคัดเลือกหุ้น (Stock selection/Stock picking) สำหรับพอร์ตการลงทุนจึงมีความสำคัญอย่างมากในปี 2560 นี้
     กลยุทธ์การลงทุน เลือกหุ้นในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า เช่น กลุ่มพลังงาน, กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและความพยายามเร่งรัดการลงทุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลเช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เป็นต้น
     สำหรับตราสารหนี้ในประเทศ ความน่าสนใจจะอยู่ที่ตราสารระยะสั้นซึ่งสามารถใช้เป็นแหล่งลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงท่ามกลางความผันผวนของตลาด ซึ่งเมื่อครบกำหนดหากอัตราผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่เหมาะสมแล้วก็สามารถกลับไปลงทุนใหม่ (Reinvestment) ที่อัตราผลตอบแทนสูงขึ้น หรืออาจยืดอายุของตราสารที่ลงทุนให้ยาวขึ้นได้หากอัตราผลตอบแทนได้ตอบรับ (Price in) กับปัจจัยต่างๆ ไปหมดแล้ว ดังนั้น กองทุนตราสารหนี้ที่น่าสนใจในปีนี้  จะเป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นและกองทุนรวมตลาดเงิน  เช่นกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้น พลัส ( KTST PLUS)
     ในปีนี้ บริษัทได้คัดสรรกองทุนในแต่ละประเภท ที่คาดว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี ให้กับนักลงทุนได้พิจารณา ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้น Mid-Small Cap (KTMSEQ) เน้นการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ กลยุทธ์การลงทุนของกองทุน KTMSEQ คือ การใช้ Bottom up approach เป็นหลักในการคัดเลือกหุ้นและบริหารกองทุน ซึ่งจะเหมาะสมกับภาวะการลงทุนในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีที่ผ่านมา ราคาของหุ้นบางตัวอาจเริ่มเต็มมูลค่าหรือมีราคาค่อนข้างแพง อีกทั้งเป้าหมายของดัชนี SET Index ในปีนี้ที่ 1668 จุด หรือคิดเป็นอัพไซด์ประมาณ 8% จากระดับดัชนีฯ 1548.94 จุด ณ สิ้นปี 2559 นั้น ซึ่งถือว่ามีอัพไซด์ไม่มากนักเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยการปรับขึ้นในแต่ละปีของดัชนีฯในอดีตที่จะอยู่ระหว่าง 12-15%  เนื่องจากราคาหุ้นหลายตัวเริ่มเข้าใกล้มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้นการปรับตัวขึ้นในระยะต่อไปอาจไม่ใช่เป็นการปรับตัวขึ้นของหุ้นทั้งกระดานหรือกลุ่มอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งเป็นพิเศษ การคัดเลือกหุ้นที่จะลงทุน (Stock selection/Stock picking) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดทำพอร์ตการลงทุนในปีนี้ บริษัทให้ความสำคัญอย่างมากกับงานด้านวิเคราะห์ ทั้งเศรษฐกิจมหภาค รายกลุ่มอุตสาหกรรม และการวิเคราะห์ที่ลงลึกถึงรายบริษัท และเป็นหุ้นกลุ่มที่คาดว่า จะไม่ได้รับผลกระทบจากกระแสเม็ดเงินไหลเข้า-ออกของนักลงทุนต่างชาติ ที่จะมีความผันผวนค่อนข้างสูงตลอดทั้งปี  กองทุน KTMSEQ  จึงน่าจะเป็นกองทุนหุ้นที่ตอบโจทย์นักลงทุนสำหรับภาวะการลงทุนในปีนี้
     ทางด้านกองทุนต่างประเทศ แนะนำกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ ( KT-FINANCE ) ซึ่งลงทุนในหน่วยลงทุน Fidelity Funds – Global Financial Services Fund เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลก  ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านการเงิน  และภาคอุตสาหกรรม โดยกองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และในปีนี้กองทุนจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ภาพรวมอุตสาหกรรมยังคงมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ในขณะที่คุณภาพของสินทรัพย์อยู่ในระดับดีเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารต่างๆได้มีการตั้งสำรองและมีการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์
     ส่วนการลงทุนในรายประเทศ บริษัทเลือกประเทศจีนเป็นเป้าหมายหลักของการลงทุนในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจของจีนจะยังคงมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังและโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ในขณะที่การเติบโตของการบริโภคภายในประเทศและการเติบโตของภาคบริการจากการเติบโตของกลุ่มประชากร Middle class จะช่วยชดเชยความเสี่ยง หากภาคการส่งออกได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายปกป้องทางการค้าของสหรัฐฯที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนั้น เศรษฐกิจจีนยังได้รับอานิสงค์จากการฟื้นตัวของสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มโลหะพื้นฐานซึ่งเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตโลหะพื้นฐานมีแนวโน้มการเติบโตของรายได้และกำไรต่อเนื่อง ในขณะที่หุ้นจีนยังถือว่าถูกเมื่อเทียบกับอดีต โดยปัจจุบันดัชนี Shanghai Composite Index มีการซื้อขายที่ระดับ PE 13 เท่า ในขณะที่ค่าเฉลี่ยในอดีตอยู่ที่ระดับ 14 เท่า  บริษัทจึงมีแผนที่จะเสนอขายกองทุนเปิดเคแทม ไชน่า อีควิตี้ ฟันด์ (KT-China) ในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งกองทุนจะไปลงทุนกองทุนรวมหลัก BGF China Fund ซึ่งเน้นการบริหารเชิงรุกเพื่อรับโอกาสจากการลงทุนในตราสารทุนของบริษัท ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในหรือเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในสาธารณรัฐประชาชนจีน
    “ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า  เงื่อนไขผลตอบแทน  และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน“  นักลงทุนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือ โทร 0-2686 -6100