รมว.ท่องเที่ยวชี้ธ.ค.ปีนี้คนไทยวางแผนท่องเที่ยวตามรอยพ่อหลวงจากโครงการพระราชดำริเพิ่ม
โครงการ“ชั่งหัวมัน”ยอด นทท.กว่า2หมื่นคน คาดไฮซีชั่นเงินสะพัด ชี้เที่ยวทั่วไทยและท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่คนไทยต่างชาติฮิตติดกระแส มั่นใจปลุกรายได้กระจายสู่ท้องถิ่นกว่า 70,000 ล้านบาท
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่าจากรายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะช่วงไฮซีชั่นที่พบข้อมูลว่ามียอดจองที่พักและวางแผนการเดินทางเที่ยวข้ามภาคกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวในภาคเหนือ และภาคกลางตอนบนที่อุณหภูมิเริ่มลดลง ที่สำคัญมีประชาชนจำนวนมากเดินทางไปเที่ยวตามโครงการพระราชดำริ เช่น ที่ โครงการชั่งหัวมัน อ. ท่ายาง จ. เพชรบุรี จากสถิติในเดือน พย ปี 58 จำนวน 26,308 คน และในปี 59 จำนวน 54,707 คน เพิ่มขึ้นกว่า 48% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่ช่วงวันที่ 1 -6 ธันวาคม นี้ มีคนเดินทางมากว่า 20,000 คนแล้ว และที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง มีคนมาเยี่ยมชม ในเดือน พย ปี 58 จำนวน 17,431 คน และในปี 59 จำนวน 23,023 คน เพิ่มขึ้นกว่า 75% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ด้วยมาตรการลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายในเดือนธันวาคม ไม่ต่ำกว่า 70,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่นตามภูมิภาคต่างๆ ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางมาเที่ยวไทยนั้น หลังจากได้เริ่ม มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทยในตปท. จำนวน 1,000 บาทต่อคน เป็นการชั่วคราว 3 เดือน และมาตรการ ปรับลดค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa On Arrival - VOA) ให้แก่ชาวต่างชาติ โดยปรับลด จาก 2,000 บาท เป็น 1,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน มีแนวโน้มว่าจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ตามข้อมูลล่าสุดจากรายงานของกรมการท่องเที่ยว พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวสะสม จำนวน 29.89 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้ 1.49 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 10 และ 13.56 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามลำดับ ซึ่งอัตราการเติบโตของรายได้ มากกว่า จำนวนนักท่องเที่ยว นับเป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ
นางกอบกาญจน์ กล่าวต่อไปว่า นักท่องเที่ยวในปัจจุบันให้ความสนใจ การท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) กันมากขึ้นเห็นได้จาก การแข่งขันไตรกีฬารายการระดับโลก ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา 2 รายการ คือ การแข่งขันลากูน่าภูเก็ตไตรกีฬา ครั้งที่ 23 ที่มีผู้เข้าร่วมการแข่งขันมากกว่า 1,200 คน จากกว่า 42 ประเทศทั่วโลก เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 300 คน และการแข่งขัน "โฟร์โมสต์ ไอรอนแมน 70.3 ไทยแลนด์” มีจำนวนนักกีฬาชาวต่างชาติมา 1,100 คน และนักกีฬาไทย 300 ครั้ง จาก 61 ประเทศ ซึ่งนักกีฬาส่วนใหญ่ชื่นชมและประทับใจการจัดแข่งขันที่ไทยเราทำได้ดีมาก มีอุปกรณ์และเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน สนามว่ายน้ำมีความสวยงาม ส่วนสนามจักรยานก็มีการเซตให้พร้อมสำหรับการแข่งขันเป็นเส้นทางยาว และยังมีคนคอยเชียร์อยู่ทั้งสองข้างทางจำนวนมาก ส่วนสนามวิ่งก็ถือว่าดีเช่นกัน โดยรวมแล้วสนามแข่งขันทั้งสามประเภทนั้นท้าทาย ทุกคนที่เข้าร่วมแข่งขันต่างพอใจ อีกทั้งยังรู้สึกสนุกที่ได้ชื่นชมกับบรรยากาศอันสวยงามของ จ.ภูเก็ต โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ระบุว่าหากครั้งหน้าไทยจัดอีกก็จะมาร่วมกิจกรรมและแข่งขันด้วยอย่างแน่นอน ในขณะที่การแข่งขัน Air Race 1 ขึ้นเป็นครั้งแรกในเอเชีย ณ สนามบินอู่ตะเภา มีผู้เข้าชมกว่า 53,000 คน
นางกอบกาญจน์กล่าวว่า เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการแข่งขันเจ็ตสกีชิงแชมป์โลก “คิงส์คัพ - การบินไทย เจ็ตสกีเวิลด์คัพ 2016” ระหว่างวันที่ 2 - 4 ธันวาคม 2559 ที่ หาดจอมเทียน เมืองพัทยา มีนักเจ็ตสกีจาก 40 ชาติ ร่วมแข่งขัน การแข่งขันปีนี้ถือเป็นปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ทำการแข่งขันมากว่า 20 ปี มีนักกีฬาและทีมงานจากต่างชาติเข้าร่วมการแข่งขันกว่า 1,000 คน เมื่อรวมกับฝั่งนักกีฬาของไทยแล้ว ทั้งนักแข่งและทีมงานมีจำนวนทั้งสิ้นร่วม 2,000 คน โดยมีผู้สนใจเข้าชมกว่า 23,000 คน
และช่วงเวลานี้ ระหว่างวันที่ 3-10 ธันวาคม 2559 ก็มีการแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทาน "ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตตา" ซึ่งถือเป็นงานแข่งขันเรือใบนานาชาติที่สําคัญของภูมิภาคเอเชีย ในวันที่ 9 ธันวาคม 2559 จะมีการจัด “พิธีสวนสนามทางทะเล” เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่10 ซึ่งประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถชมความสวยงามในพิธีดังกล่าวได้ในมุมสูงบริเวณแหลมพรหมเทพ จุดชมวิวสามอ่าว และพื้นที่ต่างๆ การจัดการแข่งขันในครั้งนี้ เป็นการช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในฐานะหนึ่งในสถานที่จัดงานแข่งขันเรือใบระดับนานาชาติชั้นเลิศและเป็นที่นิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะนอกจากทำให้นานาประเทศได้ตระหนักว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของกีฬาเรือใบแล้ว ยังช่วยให้ธุรกิจเรือใบและการท่องเที่ยวทางทะเลมีการเจริญเติบโตอย่างมากช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยดึงดูดทีมเรือใบและเรือยอร์ช มากกว่า 200 ลำ พร้อมนักกีฬาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากกว่า 1,500 คน จากกว่า 30 ประเทศให้เดินทางมาเข้าร่วมงานในครั้งนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการและประชาชนในท้องถิ่นอย่างมหาศาล ก่อให้เกิดเงินสะพัดกว่า 300 ล้านบาทตลอดสัปดาห์การจัดงาน