ADS


Breaking News

แผนการพัฒนาระบบชาร์จพลังงานไฟฟ้า Ultra-Fast เพื่อให้บริการตลอดแนวเส้นทางหลักในทวีปยุโรป

BMW Group, Daimler AG, Ford Motor Company และ Volkswagen Group ซึ่งประกอบด้วย Audi และ Porsche ร่วมกำหนดแผนการพัฒนาระบบชาร์จพลังงานไฟฟ้า Ultra-Fast เพื่อให้บริการตลอดแนวเส้นทางหลักในทวีปยุโรป
  • เสริมสร้างความร่วมมือด้านการติดตั้งเครือข่ายระบบชาร์จพลังงานไฟฟ้า high-powered DC สำหรับยานพาหนะที่ใช้กำลังขับเคลื่อนจากแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicles - BEV) ครอบคลุมเส้นทางระยะยาวทั่วทั้งทวีปยุโรป 
  • สถานีบริการให้กำลังไฟฟ้าสูงสุดกว่า 350 กิโลวัตต์ ลดระยะเวลาในการชาร์จพลังงานลงอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับระบบในปัจจุบัน 
  • กำหนดแผนงานเบื้องต้นสำหรับการก่อสร้างสถานีชาร์จพลังงาน ultra-fast ในทวีปยุโรป ด้วยจำนวนมากกว่า 400 สถานี 
  • เชื่อมโยงเครือข่ายการให้บริการผ่านมาตรฐาน Combined Charging System (CCS) ส่งผลให้ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ไฟฟ้า BEVs รุ่นปัจจุบันและในอนาคตทุกคันสามารถใช้ปลั๊กต่อร่วมกันได้อย่างไร้ข้อจำกัด 
  • เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของความร่วมมือกันระหว่างบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ระดับโลก พัฒนาเครือข่ายการให้บริการชาร์จพลังงานโดยไม่แบ่งแยกค่ายรถยนต์อีกต่อไป

    สตุ๊ทการ์ท 30 พฤศจิกายน 2559 – BMW Group, Daimler AG, Ford Motor Company และ Volkswagen Group โดย Audi และ Porsche ลงนามในบันทึกความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่เพื่อการพัฒนาเครือข่ายการบริการสถานีชาร์จพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดทั่วทวีปยุโรป โดยมีจุดมุ่งหมายในการเร่งก่อสร้างเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จพลังงานให้สามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ตลอดแนวเส้นทางหลักในการคมนาคมได้อย่างเพียงพอ
     โครงการเครือข่ายสถานีชาร์จพลังงาน ultra-fast ได้รับการออกแบบพัฒนาให้สามารถบริการจ่ายกำลังไฟฟ้าสูงสุดถึง 350 กิโลวัตต์ ซึ่งส่งผลให้ระยะเวลาในการชาร์จพลังงานแต่ละครั้งลดลงเป็นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับระบบการชาร์จที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ แผนการก่อสร้างมีกำหนดเริ่มดำเนินงานในปี 2017 ด้วยเป้าหมายเริ่มต้นประมาณ 400 สถานีในทวีปยุโรป และก่อนปี 2020 ผู้ใช้ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ไฟฟ้าจะสามารถเข้าถึงสถานีชาร์จพลังงานในรูปแบบใหม่นี้ได้ด้วยจุดให้บริการที่มากกว่า 1,000 สถานี เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จพลังงานที่รองรับการคมนาคมระยะทางไกลตลอดแนวทางหลวงและเส้นทางหลักทั้งหมด ตอบสนองอัตราการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ยานพาหนะ BEV ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปิดประสบการณ์ในการใช้บริการที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบายไม่แตกต่างจากสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้ใช้รถทุกคนคุ้นเคยกันดี
     เครือข่ายการให้บริการทั้งหมด ได้รับการจัดสร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากมาตรฐานเทคโนโลยี Combined Charging System (CCS) ซึ่งกำหนดมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบชาร์จพลังงานครอบคลุมทั่วถึงทางด้านเทคนิคทั้งการชาร์จผ่านไฟฟ้ากระแสสลับ AC และไฟฟ้ากระแสตรง DC ในยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ยกระดับขีดความสามารถในการสำรองจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงในรูปแบบ DC fast charging จากกำลังไฟฟ้าสูงสุดถึง 350 กิโลวัตต์ ยานพาหนะ BEV ทุกคันในอนาคตจะได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมที่รองรับกำลังไฟฟ้าของสถานีชาร์จพลังงานดังกล่าว ส่งผลให้รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าทุกยี่ห้อสามารถชาร์จพลังงานได้โดยใช้เวลาน้อยลงกว่าในปัจจุบัน เครือข่ายสถานีทั้งหมด              ถูกกำหนดให้รองรับยานพาหนะทุกคันที่ติดตั้งอุปกรณ์ตามมาตรฐาน CCS ซึ่งเป็นข้อกำหนดเดียวกันกับรถยนต์แบบ BEV ที่จำหน่ายอยู่ในทวีปยุโรป
BMW Group
“เครือข่ายสถานีชาร์จพลังงานประสิทธิภาพสูง นำเสนอมิติใหม่ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นอีกระดับให้แก่ผู้ขับขี่รถยนต์ในการเลือกใช้ยานพาหนะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า” คือคำกล่าวของ Harald Krüger ประธานกรรมการบริหารของ BMW AG “BMW Group ให้การสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในส่วนของจุดจ่ายพลังงานไฟฟ้าสาธารณะมากมายหลายโครงการ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่างบริษัทรถยนต์ในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นความก้าวหน้าที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นการแสดงออกถึงความชัดเจนในทิศทางการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าโดยไม่มีการแบ่งแยกในฐานะคู่แข่งทางธุรกิจ”

Daimler AG
“ความก้าวหน้าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ต้องการสิ่งที่จำเป็น 2 ประการ: นั่นคือรถยนต์ที่น่าใช้งานรวมทั้งไว้วางใจได้ และโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการชาร์จพลังงานให้แก่รถยนต์เหล่านั้นได้อย่างทั่วถึง ด้วยแบรนด์ใหม่ของเรา EQ เรากำลังจะเดินหน้าทำตลาดผลิตภัณฑ์ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าอย่างเต็มที่ภายในปี 2025 เครือข่ายธุรกิจของเราจะมีรถยนต์โดยสารที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบอยู่ด้วยมากกว่า 10 รุ่น และด้วยการทำงานร่วมกับพันธมิตรของเรา เรากำลังดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของสถานีบริการชาร์จพลังงานไฟฟ้าทั่วทั้งทวีปยุโรป” ข้างต้นคือความคิดเห็นจาก Dr.Dieter Zetsche ประธานกรรมการบริหารของ Daimler AG และผู้นำของ Mercedes-Benz Cars "ความเป็นไปได้ของสถานีชาร์จพลังงานประสิทธิภาพสูง ช่วยเพิ่มโอกาสให้ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า สามารถขับขี่เดินทางระยะไกลได้เป็นครั้งแรก ผลที่ได้ต่อเนื่องคือความน่าสนใจในตัวรถและการจูงใจลูกค้าให้หันมาเลือกรถยนต์ไฟฟ้าไปใช้งานมากขึ้น”

Ford Motor Company
“ความน่าเชื่อถือและไว้วางใจ คือใจความสำคัญที่เราได้จากโครงข่ายการให้บริการสถานีชาร์จพลังงาน ultra-fast ในมุมมองของผู้บริโภคส่วนใหญ่ และสิ่งนั้นจะกลายเป็นแนวโน้มที่ดีในการเพิ่มจำนวนผู้ใช้ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า” Mark Fields ประธาน และ CEO ของ Ford Motor Company กล่าวต่อไปอีกว่า “Ford มีพันธะกิจในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่ช่วยให้ชีวิตของมวลชนสะดวกสบายยิ่งขึ้น และเครือข่ายสถานีชาร์จพลังงานนี้คืออีกหนึ่งแนวทางที่จะทำหน้าที่ช่วยลดปัญหาในการเดินทางและการใช้ชีวิตของผู้คนในทวีปยุโรป ให้การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิมสำหรับพวกเขาเหล่านั้น”

AUDI AG
“เรามุ่งมั่นสร้างเครือข่ายสถานีบริการที่จะช่วยให้ผู้ใช้รถยนต์สามารถแวะพักดื่มกาแฟในระหว่างชาร์จพลังงานไฟฟ้าเมื่อเดินทางระยะไกลได้” ข้างต้นคือคำกล่าวของ Rupert Stadler ประธานกรรมการบริหารของ AUDI AG “สถานีบริการระบบชาร์จพลังงานแบบรวดเร็วที่ให้ความไว้วางใจได้นั้น คือกุญแจสำคัญในการตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าของผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ ด้วยความร่วมมือในครั้งนี้ เรามีวัตถุประสงค์หลักในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดยานพาหนะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ารวมทั้งยานพาหนะปลอดมลภาวะให้เป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น”

Porsche AG
“มีสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอยู่ 2 อย่างสำหรับเรา: สถานีชาร์จพลังงาน ultra-fast และการก่อตั้งสถานีในบริเวณที่เหมาะสม” Oliver Blume ประธานกรรมการบริหารของ Porsche AG ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า “องค์ประกอบทั้ง 2 ประการข้างต้นคือปัจจัยที่จะช่วยให้เราทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าต่อไปได้ ด้วยขีดความสามารถและข้อจำกัดที่ไม่ด้อยไปกว่ารถยนต์ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบเดิม ในฐานะของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ เราคือผู้กำหนดแนวทางที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของเราเอง ไม่เพียงการพัฒนารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ดังกล่าวให้เพียงพอเช่นเดียวกัน”

     บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลกหลายแห่งต่างทุ่มเทงบประมาณและทรัพยากร เพื่อสร้างเครือข่ายการให้บริการที่สมบูรณ์แบบ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในอนาคตและความก้าวหน้าของยานพาหนะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ในฐานะของกลุ่มพันธมิตรที่ประกอบด้วย BMW Group, Daimler AG, Ford Motor Company และ Volkswagen Group ล้วนแล้วแต่มีความเท่าเทียมกันในด้านของความร่วมมือ ในส่วนของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น กำลังจะได้รับการเชิญชวนให้เข้าร่วมเครือข่ายความร่วมมือดังกล่าว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการหาแนวทางและพัฒนากรรมวิธีการชาร์จพลังงานที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบายและง่ายดาย รองรับผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่นาน โครงการความร่วมมือระดับโลกนี้ยังคงเปิดกว้างสำหรับองค์กรอื่นๆ ที่ให้ความสนใจอยู่เสมอ 
     ทั้งนี้ลักษณะของการบริหารจัดการและการดำเนินงานจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์หลักตามข้อตกลงที่ให้ไว้ร่วมกันและการอนุมัติโครงการต่างๆ จะถูกควบคุมดูแลผ่านคณะกรรมการของพันธมิตรผู้ร่วมอุดมการณ์ทั้งหมด

เกี่ยวกับ AUDI AG
Audi Group ประกอบด้วยแบรนด์ Audi, Ducati และ Lamborghini เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ระดับพรีเมี่ยมที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ดำเนินการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์คุณภาพกว่า 100 ประเทศทั่วโลก และมีโรงงานผลิตถึง 16 แห่งใน 12 ประเทศ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2016 ได้เริ่มต้นดำเนินการผลิต Audi Q5 ที่โรงงานใน San José Chiapa (ประเทศเม็กซิโก) บริษัทในเครือที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานของ AUDI AG อย่างสมบูรณ์ได้แก่ quattro GmbH (Neckarsulm), Automobili Lamborghini S.p.A. (Sant’Agata Bolognese ประเทศอิตาลี) และ Ducati Motor Holding S.p.A. (Bologna ประเทศอิตาลี) ในปี 2015 Audi Group ได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ยานยนต์ให้แก่ลูกค้ากว่า 1.8 ล้านคัน ในแบรนด์ Audi  รถสปอร์ตสมรรถนะสูง 3,245 คัน ในแบรนด์ Lamborghini และรถจักรยานยนต์อีกกว่า 54,800 คัน ในแบรนด์ Ducati สถานะทางการเงินในปี 2015 ที่ผ่านมา Audi Group ทำรายได้รวมที่ 58.4 พันล้านยูโร และมีผลกำไรจากการดำเนินงานที่ 4.8 พันล้านยูโร บุคลากรที่ปฏิบัติงานในปัจจุบันประมาณ 85,000 คนทั่วโลก กว่า 60,000 คน        ทำหน้าที่ในประเทศเยอรมนี Audi เป็นบริษัทรถยนต์ที่มุ่งเน้นการพัฒนายนตกรรมรุ่นใหม่และเทคโนโลยีที่ยั่งยืนสำหรับยานพาหนะในอนาคต

เกี่ยวกับ BMW Group
ประกอบด้วย 3 แบรนด์ ซึ่งได้แก่ BMW, MINI และ Rolls-Royce BMW Group คือบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ระดับพรีเมี่ยม ชั้นนำของโลกทั้งในส่วนของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ รวมทั้งบริการด้านการเงินและยานพาหนะในระดับนานาชาติ BMW Group มีโรงงานผลิตถึง 31 แห่งใน 14 ประเทศ รวมทั้งเครือข่ายการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกว่า 140 ประเทศ    ทั่วโลก ในปี 2015 BMW Group ได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ยานยนต์ให้แก่ลูกค้าด้วยรถยนต์ประมาณ 2.247 ล้านคัน และรถจักรยานยนต์อีกกว่า 137,000 คัน มีผลกำไรก่อนหักภาษีสำหรับสถานะทางการเงินในปี 2015 ประมาณ 9.22 พันล้าน  ยูโร จากรายได้รวมทั้งหมดประมาณ 92.18 พันล้านยูโร นับจากวันที่ 31 ธันวาคม 2015 BMW Group มีบุคลากรทั้งหมด 122,244 คน ความสำเร็จของ BMW Group ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากปรัชญาการพัฒนาในระยะยาวและการดำเนินงานที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม บริหารจัดการโดยให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคมผ่านหลักการของห่วงโซ่คุณค่าหรือ value chain มีพันธกิจที่ชัดเจนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยบรรจุให้เป็นหนึ่งในกลยุทธหลักขององค์กร

เกี่ยวกับ Daimler AG
Daimler AG คือหนึ่งในบริษัทยานยนต์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก ประกอบด้วย Mercedes-Benz Cars, Daimler Trucks, Mercedes-Benz Vans, Daimler Buses และ Daimler Financial Services นอกจากนี้ Daimler Group ยังเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ระดับพรีเมียมที่ใหญ่ที่สุดในโลกในประเภทรถยนต์เพื่อการพาณิชย์  ส่วนงาน Daimler Financial Services ให้บริการด้านการเงิน, การเช่าซื้อ, การซื้อขายแบบ fleet, ประกันภัย, การลงทุน, บัตรเครดิต และบริการทางด้านยานยนต์ บริษัทได้รับการก่อตั้งขึ้นโดย Gottlieb Daimler และ Carl Benz ผู้ประดิษฐ์คิดค้นรถยนต์คันแรกในปี 1886 ในฐานะของผู้บุกเบิกด้านวิศวกรรมยานยนต์ Daimler ยังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของยานพาหนะในอนาคตตราบจนทุกวันนี้: บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่รักษาสิ่งแวดล้อมรวมทั้งระบบความปลอดภัยล้ำยุค สรรสร้างสุดยอดยนตกรรมที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจ Daimler มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการคิดค้นปรับปรุงระบบขับเคลื่อนทางเลือก เพื่อจุดมุ่งหมายในระยะยาวสำหรับการมาถึงของยานพาหนะปลอดมลภาวะ: นับตั้งแต่รถยนต์ hybrid จวบจนถึงยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่หรือเซลล์เชื้อเพลิง ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังมุ่งมั่นพัฒนาตามแนวทางของการคมนาคมโดยปราศจากอุบัติเหตุและระบบติดต่อสื่อสารอัจฉริยะในรูปแบบของรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตัวอย่างจากภารกิจที่ท้าทายความสามารถของ Daimler ในการดำรงไว้ซึ่งความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม Daimler มีการดำเนินงานจัดจำหน่ายยานยนต์และให้บริการในเกือบทุกประเทศทั่วโลก รวมทั้งมีโรงงานผลิตทั้งในทวีปยุโรป อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ เอเซียและแอฟริกา เครือข่ายธุรกิจของบริษัทเต็มไปด้วยแบรนด์รถยนต์ที่มีชื่อเสียงและทรงคุณค่าที่สุดของโลก ได้แก่ Mercedes-Benz, Mercedes-AMG, Mercedes-Maybach และ Mercedes me รวมทั้งแบรนด์ smart, Freightliner, Western Star, BharatBenz, FUSO, Setra และ Thomas Built Buses บริการทางการเงิน Daimler Financial Services: Mercedes-Benz Bank, Mercedes-Benz Financial, Daimler Truck Financial, moovel, car2go และ mytaxi บริษัทได้รับการจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นที่ Frankfurt และ Stuttgart (stock exchange symbol DAI) ในปี 2015 บริษัทมียอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยานยนต์ประมาณ 2.9 ล้านคัน และมีบุคลากรทั้งสิ้น 284,015 คน; รายได้รวมอยู่ที่ 149.5 พันล้านยูโร มีกำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้หรือ EBIT ที่ 13.2 พันล้านยูโร

เกี่ยวกับ Ford Motor Company
Ford Motor Company คือบริษัทยานยนต์ระดับโลกซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในเมือง Dearborn รัฐ Michigan ด้วยบุคลากรประมาณ 203,000 คน และโรงงานผลิต 62 แห่งทั่วโลก ธุรกิจหลักของบริษัทเริ่มตั้งแต่ การออกแบบพัฒนา การผลิตสินค้า การตลาด และงานบริการ ที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์ในแบรนด์ Ford รถบรรทุกและ SUV รวมทั้งยนตกรรมระดับหรูหราในแบรนด์ Lincoln เพื่อเป็นการขยายธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น Ford ได้ลงทุนทุ่มเทและผลักดันเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำตลาดรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ นอกจากนี้ Ford ยังให้บริการด้านการเงินผ่านบริษัทในเครือภายใต้ชื่อ Ford Motor Credit Company

เกี่ยวกับ Porsche AG
Dr. Ing. h.c. F. Porsche AG มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Stuttgart-Zuffenhausen เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ที่มีผลกำไรสูงที่สุดในโลก จากการดำเนินงานระยะเวลาเพียง 9 เดือนแรกของปี 2016 ปอร์เช่มียอดส่งมอบรถยนต์ใหม่ไปยังลูกค้าทั่วโลกทั้งสิ้น 178,314 คัน ซึ่งประกอบด้วย ปอร์เช่ 911, คาเยนน์ (Cayenne), มาคันน์ (Macan), พานาเมร่า(Panamera), 718 บ็อกซ์เตอร์ (718 Boxster) และ 718 เคย์แมน (718 Cayman) เป็นอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ผลงานของบริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตชั้นนำของโลกเพียง 3 ไตรมาสในปี 2016  สามารถทำกำไรได้ที่ 2.9 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้นถึง 12 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขของปีที่แล้ว ปอร์เช่มีโรงงานใน Stuttgart และ Leipzig รวมทั้งศูนย์วิจัยพัฒนาใน Weissach บุคลากรผู้ปฏิบัติงานประมาณ 27,000 คน (30 กันยายน 2016) ปรัชญาในการดำเนินงานของปอร์เช่ คือการนำทุกความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นในสนามแข่ง ถ่ายทอดมายังรถยนต์ปอร์เช่ทุกคัน จากมาตรฐานคุณภาพของรถยนต์ที่ยอดเยี่ยม ทำให้กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของรถยนต์ปอร์เช่ที่ถูก   สร้างขึ้น ยังคงโลดแล่นอยู่บนท้องถนนทั่วโลกตราบจนทุกวันนี้

เกี่ยวกับ Volkswagen Group
Volkswagen Group มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Wolfsburg เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และมีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ประกอบด้วยแบรนด์ยานยนต์ชั้นนำถึง 12 แบรนด์จาก 7 ชาติในทวีปยุโรป: ได้แก่ Volkswagen Passenger Cars, Audi, SEAT, ŠKODA, Bentley, Bugatti, Lamborghini, Porsche, Ducati, Volkswagen Commercial Vehicles, Scania และ MAN โดยแต่ละแบรนด์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและวิถีการดำเนินงานที่เป็นอิสระต่อกันในแต่ละ   กลุ่มตลาด ครอบคลุมทุกประเภทผลิตภัณฑ์ตั้งแต่รถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก จนถึงยนตกรรมระดับหรูหรา ในส่วนของรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ครอบคลุมทั้งรถบรรทุกเล็ก รถบัสและรถบรรทุกขนาดใหญ่ บริษัทมีโรงงานผลิต 121 แห่ง ตั้งอยู่ในทวีปยุโรป 20 ประเทศ รวมทั้งภูมิภาค อเมริกา เอเซีย และ แอฟริกาอีก 11 ประเทศ จำนวนบุคลากรปฎิบัติหน้าที่กว่า 610,076 ตำแหน่งทั่วโลก ผลิตรถยนต์ถึง 42,000 คันในแต่ละวัน รวมทั้งดำเนินงานด้านบริการและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ยานยนต์ทั้งหมด Volkswagen Group ทำตลาดใน 153 ประเทศ ด้วยแผนกลยุทธ “TOGETHER – Strategy 2025" Volkswagen Group มีวิถีทางในการบริหารจัดการสำหรับก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ขององค์กร: เพื่อขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำที่ดีที่สุดของโลก

ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการ ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าปอร์เช่ทุกท่านด้วยทีมวิศวกรที่ผ่านการทดสอบระดับ
เหรียญทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) ถึง 12 คน ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากที่สุดของศูนย์รถยนต์ปอร์เช่    ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคทั้งหมด 13 ประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในเรื่องการให้บริการหลังการขาย โดย เอเอเอส ทุ่มงบการอบรมวิศวกรของเราให้มีคุณภาพสูงสุดตามนโยบายหลักของบริษัท ที่ว่า “เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ AAS Looking after YOU and your CAR” เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า AAS The Name you can Trust ซึ่งพิสูจน์ให้ท่านได้เห็นแล้วตลอดระยะเวลาดำเนินงานมากกว่า 30 ปี

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Porsche Centre Bangkok ถ.วิภาวดีรังสิตโทร. 02-522-6655
Porsche Centre Pattanakarn ถ.พัฒนาการโทร. 02-369-1111
Porsche City Showroom Siam Paragon ชั้น 2 โทร. 02-610-9911