ADS


Breaking News

เชลล์ครองตำแหน่งเจ้าตลาดน้ำมันหล่อลื่นติดต่อกันเป็นปีที่ 10

23 พฤศจิกายน 2559 – เชลล์สร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งของตลาดน้ำมันหล่อลื่นทั่วโลกประจำปี 2558 ติดต่อกันเป็นปีที่ 10 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 11.6% อ้างอิงจากรายงานการวิเคราะห์และการประเมินตลาดในอุตสาหกรรมน้ำมันหล่อลื่นทั่วโลกปี 2559 ของไคล์ แอนด์ คอมพานี (Kline & Company) สถาบันด้านการวิจัยตลาดชั้นนำ

ไคล์ แอนด์ คอมพานี คาดการณ์ว่า ยอดขายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเชลล์อยู่ที่ 4,400 – 4,600 กิโลตัน ในปี 2558 โดยแบ่งเป็น กลุ่มผู้บริโภคทั่วไป 36%, กลุ่มลูกค้าในภาคอุตสาหกรรม 34% และกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ 30%

มร.จอห์น แอ็บบอท กรรมการบริหารและผู้อำนวยการธุรกิจดาวน์สตรีม รอยัล ดัชท์ เชลล์  กล่าวว่า “ในสภาวะที่ตลาดมีการแข่งขันสูง การบรรลุเป้าหมายครั้งนี้นับเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี ใส่ใจความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลักและนำมาสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และการบริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าเราจะเดินหน้าลงทุนเพื่อรองรับ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดทั่วโลก และต่อยอดความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรม และไม่หยุดยั้งในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และการบริการใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ ความต้องการของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานในอนาคต”

รายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า น้ำมันหล่อลื่นเชลล์ ครองแชมป์เป็นผู้นำตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ (30%) มาเลเซีย (27%) สหราชอาณาจักร (18%) และสหรัฐอเมริกา (12%) และเชลล์ ยังจัดเป็นผู้ผลิตน้ำมันหล่อลื่นข้ามชาติที่เป็นผู้นำตลาดใน แอฟริกาใต้ (20%) ประเทศไทย (18%) แคนาดา (13%) และสาธารณรัฐประชาชนจีน (8%)

มร. จอร์จ มอร์วีย์ ผู้จัดการฝ่ายอุตสาหกรรม ภาคพลังงาน แห่งไคล์ แอนด์ คอมพานี กล่าวว่า “ยอดขายทั้งหมดของน้ำมันหล่อลื่นทั่วโลกมีปริมาณ 38.8 ล้านตัน ในปี 2558 ลดลงจาก 39.4 ล้านตันในปี 2557 เกิดจากการชะลอการเติบโตในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจบริคส์ (BRICs) ยกเว้นประเทศอินเดียเท่านั้นที่มีการเติบโต ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดภาวะขาลงของตลาดน้ำมันทั่วโลก ซึ่งถึงแม้ว่าสภาวะตลาด ยังซบเซา ประกอบกับจำนวนคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากบริษัทผลิตน้ำมันในประเทศ ผู้ผลิตน้ำมันอิสระและผลิตภัณฑ์ OEM แต่เชลล์ยังครองตำแหน่งผู้นำในทั้งสามกลุ่มผลิตภัณฑ์ และรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้สูงสุด” เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น เชลล์ทุ่มทุนหลายร้อยล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในซัพพลายเชน น้ำมันหล่อลื่น โดยการปรับปรุงโรงงานผสมน้ำมันหล่อลื่น 4 แห่ง ในเมืองฮิวสตันและเมืองนีเวลล์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และในเมืองเทศบาลนคร เทียนจิน และเมืองชาปู สาธารณรัฐประชาชนจีน และสร้างเพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง ในเมืองทอร์ซฮอกสหพันธรัฐรัสเซีย, ใกล้กับเมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ในเมืองชาปูและเมืองนานกัง สาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้งสร้างโรงงานผลิตจาระบี 1 แห่ง ในเมืองจูไห่ สาธารณรัฐประชาชนจีน และเปิดโรงงานน้ำมันพื้นฐานใหม่อีก 2 แห่ง
น้ำมันหล่อลื่นเชลล์ยังเป็นผู้นำตลาดน้ำมันหล่อลื่นสำหรับรถยนต์โดยสารในประเทศสหรัฐอเมริกา (22%) ฟิลิปปินส์ (32%) มาเลเซีย (31%) แคนาดา (19%) และสาธารณรัฐประชาชนจีน (14%) โดยมีเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ (GTL) ที่นำมาใช้พัฒนากระบวนการผลิตน้ำมันหล่อลื่นเกรดพรีเมี่ยม และเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักในการขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ โดย เชลล์ เฮลิกส์ อัลตร้า ที่มาพร้อมเพียวพลัส เทคโนโลยี เปิดตัวในปี 2557  ได้เติบโตขึ้นด้วยเลขสองหลัก และวางจำหน่ายแล้วในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ส่วนแบ่งการตลาดพรีเมี่ยมของน้ำมันหล่อลื่นเพ็นซอยล์ รุ่นแพลตตินัม ของเชลล์ ได้เพิ่มขึ้น 155% ในทวีปอเมริกาเหนือ ตั้งแต่ปี 2555 โดยได้แรงหนุนจากเชลล์ เพียวพลัส เทคโนโลยี ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้ช่วยยกระดับสมรรถนะการขับขี่ในวงการมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลกให้ทะลุขีดจำกัดเดิมๆ

เชลล์ยังเป็นแบรนด์น้ำมันอันดับหนึ่งสำหรับรถโดยสาร ในสาธารณรัฐประชาชนจีน สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และประเทศไทย และเป็นแบรนด์ที่ผู้ขับขี่จักรยานยนต์เลือกใช้ใน ประเทศมาเลเซียและฟิลิปปินส์           และสำหรับรถบรรทุก เชลล์ เป็นน้ำมันหล่อลื่นที่เจ้าของเลือกใช้ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศอียิปต์ สหพันธรัฐรัสเซียและสหรัฐอเมริกา และเชลล์ยังเป็นพันธมิตรทางธุรกิจหลักกับผู้ผลิตรถยนต์อื่นๆ เช่น  บีเอ็มดับเบิลยู เอจี, เฟียต ไครสเลอร์ ออโต้โมบิล (เอฟซีเอ) กรุ๊ป, ฮุนได, เรโนลต์-นิสสัน, โตโยต้า, เจนเนอรัล มอเตอร์ส, เดมเลอร์ เอจี, ซูซูกิ, ดูคาติ, เอ็ม เอ เอ็น, แซดเอฟ, เจนเนอรัล อิเลคทริค, เอ็กเกรโค, ซีเมนส์ และค่ายรถยนต์อื่นๆ จากประเทศจีน อาทิ จีลี่ และ เอฟเอดับเบิลยู
นอกจากนี้ เชลล์ได้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นสำหรับใช้ในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ กังหันลม อุปกรณ์การทำเหมืองและเครื่องจักรกลสำหรับการผลิต โดยในภาคน้ำมันหล่อลื่นสำหรับใช้ในอุตสาหกรรม เชลล์ครองตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ (29%) ไทย (24%) มาเลเซีย (20%) สหราชอาณาจักร (18%) ส่วนในตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ เชลล์เป็นผู้นำในตลาดมาเลเซีย (31%) แคนนาดา (20%) และสหรัฐอเมริกา (18%) น้ำมันหล่อลื่นเชลล์ได้สร้างสถิติในการลดค่าใช้จ่ายกว่าหลายร้อยล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ จากการบริการทางเทคนิคเพิ่มเติมที่เชลล์มีให้ ซึ่งการบริการดังกล่าวช่วยให้ลูกค้าสามารถ “เลือก”, “ใช้”, “รักษา” และ “ดูแล” การใช้น้ำมันหล่อลื่นอย่างเหมาะสมในอุปกรณ์ต่างๆ ของลูกค้า โดยการบริการล่าสุดที่เชลล์มีให้คือ “การบริการผู้ช่วยเสมือน (Virtual Assistant)” ซึ่งเป็นการบริการแบบครบวงจรที่ขับเคลื่อนโดยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันหล่อลื่น รวมถึงการตอบคำถามที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

Notes to Editor:
  • We have over 200 scientists and engineers working in specialised technical centres for lubricants in China, Japan (JV), US and Germany.  We opened our newest technology centre in Shanghai, China in 2014, dedicated to research and development into lubricants and oils.
  • Shell is also the first and only lubricant supplier to co-create an efficient city car. The Shell Concept Car is a collaboration between Shell, Geo Technology and Gordon Murray Design. It uses 34% less energy and produces 28% less CO2 compared to a typical city car. The bespoke engine oil alone contributed 5% fuel economy and therefore reduced CO2 emissions correspondingly by 5%. This car is not commercially available.
  • The Kline report confirmed that Shell is the world’s only large commercial volume producer of GTL base oils, the main ingredient in finished lubricants. Shell manufactures GTL base oils at Pearl GTL in Qatar, a partnership with Qatar Petroleum. Other than passenger car and Shell Advance Ultra with PurePlus Technology motorcycle oils, Shell has also manufactured industrial oils enabled by GTL technology. These include Shell Diala S4 ZX1 transformer oils, Shell Risella X process oils and Shell Turbo S4X and GX turbine oils.
  • Shell upgraded its lubricant blending plants in the United States (Houston, Newell) and China (Tianjin 2012 and Zhapu 2013) to support growing demand in these top demand-leading lubricant markets. New major Shell lubricant blending plants were opened in Russia (Torzhok, 2012), Indonesia (near Jakarta, 2015) and two in China (Zhapu 2010, Nangang 2015). Furthermore, Shell’s largest grease manufacturing plant opened in China (Zhuhai, 2013). Pearl GTL, the world’s largest producer of GTL products and a Shell partnership with Qatar Petroleum, began operations in 2011 which includes the production of Group III GTL base oils. Another Group II base oil capacity came online in Korea in 2012 (JV with Hyundai Oilbank).  
  • Shell has had longstanding motorsport technical partnerships with Ferrari (F1), Penske Corporation (Nascar and Indycar), and Ducati (MotoGP) and began collaborating with BMW Motorsport (DTM, USCC, 24-hour Nurburgring) and Hyundai Motorsport (World Rally Championship) within the past decade. Shell Helix Ultra with PurePlus Technology is the only motor oil that Ferrari F1, BMW Motorsport DTM and Hyundai i20 WRC cars use. Team Penske cars only use fully synthetic Pennzoil Platinum with PurePlus Technology on the race track.
  • Shell offers a wide range of lubricant-related services to help maximise the impact of lubricants. Shell has helped save customers over $146 million over the past 15 years with the help of these services. (See About Shell Lubricants for more information on services) In 2015, we launched Shell Virtual Assistant, an artificial intelligence-powered one-stop shop on the Shell website where customers and distributors can ask common lubricant questions, 24 hours a day, seven days a week. This tool is available across 10 markets - China, Russia, Germany, India, Singapore, Philippines, Malaysia, Australia, US and UK.

About Shell Lubricants
The term “Shell Lubricants” collectively refers to Shell Group companies engaged in the lubricants business. Shell sells a wide variety of lubricants to meet customer needs across a range of applications. These include consumer motoring, heavy-duty transport, mining, power generation and general engineering. Shell’s portfolio of lubricant brands includes Pennzoil, Quaker State, Shell Helix, Shell Rotella, Shell Tellus and Shell Rimula. We are active across the full lubricant supply chain. We manufacture base oils in seven plants; blend base oils with additives to make lubricants in over 40 plants; distribute, market and sell lubricants in over 100 countries. We also provide technical and business support to customers. We offer lubricant-related services in addition to our product range. These include: Shell LubeMatch –the market leading product on-line recommendation tool available in 123 countries in 26 languages, Shell LubeAdvisor - helps customers to select the right lubricant through highly trained Shell technical staff as well as online tools, and Shell LubeAnalyst - an early warning system that enables customers to monitor the condition of their equipment and lubricant, helping to save money on maintenance and avoid potential lost business through equipment failure. Shell’s world-class technology works to deliver value to our customers. Innovation, product application and technical collaboration are at the heart of Shell lubricants. We have leading lubricants research centres in China, Germany, Japan (in a joint venture with Showa Shell), and the USA. We invest significantly in technology and work closely with our customers to develop innovative lubricants. We have a patent portfolio with 150 + patent series for lubricants, base oils and greases; more than 200 scientists and lubricants engineers dedicated to lubricants research and development. Customer benefits include lower maintenance costs, longer equipment life and reduced energy consumption. One of the ways we push the boundaries of lubricant technology is by working closely with top motor racing teams such as Scuderia Ferrari and BMW Motorsport. These technical partnerships enable us to expand our knowledge of lubrication science and transfer cutting-edge technology from the racetrack to our commercial products.

Royal Dutch Shell plc

Royal Dutch Shell plc is incorporated in England and Wales, has its headquarters in The Hague and is listed on the London, Amsterdam, and New York stock exchanges. Shell companies have operations in more than 70 countries and territories with businesses including oil and gas exploration and production; production and marketing of liquefied natural gas and gas to liquids; manufacturing, marketing and shipping of oil products and chemicals and renewable energy projects. For further information, visit www.shell.com

Cautionary Note

The companies in which Royal Dutch Shell plc directly and indirectly owns investments are separate legal entities. In this press release “Shell”, “Shell group” and “Royal Dutch Shell” are sometimes used for convenience where references are made to Royal Dutch Shell plc and its subsidiaries in general. Likewise, the words “we”, “us” and “our” are also used to refer to subsidiaries in general or to those who work for them. These expressions are also used where no useful purpose is served by identifying the particular company or companies. ‘‘Subsidiaries’’, “Shell subsidiaries” and “Shell companies” as used in this press release refer to companies over which Royal Dutch Shell plc either directly or indirectly has control. Entities and unincorporated arrangements over which Shell has joint control are generally referred to “joint ventures” and “joint operations” respectively. Entities over which Shell has significant influence but neither control nor joint control are referred to as “associates”. The term “Shell interest” is used for convenience to indicate the direct and/or indirect ownership interest held by Shell in a venture, partnership or company, after exclusion of all third-party interest.
This press release contains forward-looking statements concerning the financial condition, results of operations and businesses of Royal Dutch Shell. All statements other than statements of historical fact are, or may be deemed to be, forward-looking statements. Forward-looking statements are statements of future expectations that are based on management’s current expectations and assumptions and involve known and unknown risks and uncertainties that could cause actual results, performance or events to differ materially from those expressed or implied in these statements. Forward-looking statements include, among other things, statements concerning the potential exposure of Royal Dutch Shell to market risks and statements expressing management’s expectations, beliefs, estimates, forecasts, projections and assumptions. These forward-looking statements are identified by their use of terms and phrases such as ‘‘anticipate’’, ‘‘believe’’, ‘‘could’’, ‘‘estimate’’, ‘‘expect’’, ‘‘goals’’, ‘‘intend’’, ‘‘may’’, ‘‘objectives’’, ‘‘outlook’’, ‘‘plan’’, ‘‘probably’’, ‘‘project’’, ‘‘risks’’, “schedule”, ‘‘seek’’, ‘‘should’’, ‘‘target’’, ‘‘will’’ and similar terms and phrases. There are a number of factors that could affect the future operations of Royal Dutch Shell and could cause those results to differ materially from those expressed in the forward-looking statements included in this press release, including (without limitation): (a) price fluctuations in crude oil and natural gas; (b) changes in demand for Shell’s products; (c) currency fluctuations; (d) drilling and production results; (e) reserves estimates; (f) loss of market share and industry competition; (g) environmental and physical risks; (h) risks associated with the identification of suitable potential acquisition properties and targets, and successful negotiation and completion of such transactions; (i) the risk of doing business in developing countries and countries subject to international sanctions; (j) legislative, fiscal and regulatory developments including regulatory measures addressing climate change; (k) economic and financial market conditions in various countries and regions; (l) political risks, including the risks of expropriation and renegotiation of the terms of contracts with governmental entities, delays or advancements in the approval of projects and delays in the reimbursement for shared costs; and (m) changes in trading conditions. All forward-looking statements contained in this press release are expressly qualified in their entirety by the cautionary statements contained or referred to in this section. Readers should not place undue reliance on forward-looking statements. Additional risk factors that may affect future results are contained in Royal Dutch Shell’s 20-F for the year ended December 31, 2015 (available at www.shell.com/investor and www.sec.gov ). These risk factors also expressly qualify all forward looking statements contained in this press release and should be considered by the reader. Each forward-looking statement speaks only as of the date of this press release, 22 November 2016. Neither Royal Dutch Shell plc nor any of its subsidiaries undertake any obligation to publicly update or revise any forward-looking statement as a result of new information, future events or other information. In light of these risks, results could differ materially from those stated, implied or inferred from the forward-looking statements contained in this press release.

We may have used certain terms, such as resources, in this press release that United States Securities and Exchange Commission (SEC) strictly prohibits us from including in our filings with the SEC. U.S. Investors are urged to consider closely the disclosure in our Form 20-F, File No 1-32575, available on the SEC website www.sec.gov.