“กอบกาญจน์” ส่งสัญญาณบวกผลเช็คบิลทัวร์ผิดกฎหมายทำไทยขึ้นแท่นเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพมากขึ้น
สร้างประโยชน์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเหตุเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัว-นทท.คุณภาพได้ชัดย้ำรายได้ตามเป้าหมายปี59 ยังเป็นไปตามเป้า2.4 ล้านล้านบาทเร่งอัดยาแรงยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าและเพิ่มวันหยุดยาวปีใหม่รับไฮซีซั่นหวังเพิ่มรายได้เข้าประเทศ
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ขณะนี้มีสัญญาณบวกของการท่องเที่ยวไทยว่าไทยกำลังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงคุณภาพอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลมีความเอาจริงในการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ ทำให้เกิดเป็นปัจจัยบวกในการสกัดกรองนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมาซื้อของไทยและอุดหนุนรายได้ให้ประเทศไทยอย่างแท้จริง ส่งผลดีต่อดัชนีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในระยะสั้นและระยะยาวได้อย่างแน่นนอน โดยต่อไป ไทยจะไม่เรียกว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” แล้วเพราะประเทศไทยจะมีแต่ ทัวร์ถูกกฎหมาย และทัวร์ผิดกฎหมาย เท่านั้น โดยใครเคยทำผิดไว้ แก้ไขให้ถูกต้อง
ทั้งนี้ยืนยันได้จากตัวเลขที่กรมการท่องเที่ยวรายงาน สะสม นับแต่เดือนม.ค.-ต.ค. 2559 พบว่าประเทศไทย มีการใช้จ่ายต่อหัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเรียงลำดับได้แก่ จีน เป็นอันดับที่ 1 ไทยได้รายได้จากการใช้จ่าย คือ 391,507 ล้านบาท อันดับ 2 คือ มาเลเซีย 74,804 ล้านบาท อันดับ 3 คือ รัสเซีย 64,328 ล้านบาท สำหรับตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยว ภาพรวมพบว่า ยังมี นักท่องเที่ยวจีน เป็นอันดับ 1 และ มีมาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และ สปป.ลาว ตามมาเป็นลำดับ (ตามตารางด้านล่าง)
ตอกย้ำด้วยข้อมูลล่าสุดจากรายงานของกรมการท่องเที่ยว ที่ พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่1 มกราคม จนถึงปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวสะสม จำนวน 28.72 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้ 1.43 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 10.38 และ 14.% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามลำดับซึ่งอัตราการเติบโตของรายได้ มากกว่าจำนวนนักท่องเที่ยวนับเป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ
นางกอบกาญจน์ กล่าวว่าขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นแล้ว กระทรวงการท่องเที่ยวจึงได้หารือกับภาคเอกชนหลายฝ่าย เสนอมาตรการวีซ่าเพื่อกระตุ้นให้ นักท่องเที่ยว ต่างชาติเดินทางมาใช้จ่ายมากขึ้น พำนักอยู่นานขึ้นและได้รับการอนุมัติจากครม.แล้ว โดยเริ่มตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2559 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2560 อีกทั้งครม.ยังมีมติอนุมัติวันหยุดยาว ปีใหม่ติดกัน 4 วันด้วย วันที่ 31 ธ.ค. 1-2-3 ม.ค. อีกด้วย สำหรับรายละเอียด มาตรการวีซ่า ได้แก่
1. ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทยในตปท. จำนวน 1,000 บาทต่อคน เป็นการชั่วคราว 3 เดือน
2. ปรับลดค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง(Visa On Arrival - VOA) ให้แก่ชาวต่างชาติ โดยปรับลด จาก 2,000 บาท เป็น 1,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน
นอกจากนี้ยังมีมาตรการ ขยายระยะเวลาพำนักในราชอาณาจักรไทย สำหรับกลุ่มพำนักในระยะยาวหรือลองสเตย์วีซ่า จาก 1 ปี เป็น 10 ปีซึ่งเป็นไปตามมาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพ และส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงวัย ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและนิยมพำนักอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวของไทย เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ชลบุรี และจังหวัดบริเวณชายทะเลที่มีชื่อเสียง โดยผู้ขอวีซ่ากลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เยอรมันนี และญี่ปุ่น เป็นต้น
"เป็นที่ชัดเจนว่า ประเทศไทยยังมีนักท่องเที่ยวเติบโตตาม เป้าหมายของปี 2559 คือ มีรายได้จากการท่องเที่ยว 2.4 ล้าน. ล้านบาท ภายในสิ้นปี จากตัวเลขชัดเจนว่าการปราบ “ทัวร์ผิดกฎหมาย” ส่งผลดีต่อการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่ไทยตั้งเป้าหมายไว้ กระทรวงฯ มั่นใจว่า รายได้จาก นักท่องเที่ยวต่างชาติได้ตามเป้าอยู่แล้ว แต่ด้วยของขวัญพิเศษให้นักท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ เช่น มาตรการวีซ่าและกิจกรรมหลากหลายคาดว่าช่วง 3 เดือนนี้จะได้ยอดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากปกติ 8.8 ล้านคนเป็น 9.1 ล้านคนคิดเป็น 4 % และมีรายได้เพิ่มจาก 454,982 ล้านบาท เป็น 483,685 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6% โดยจะมีการจ้างงานกระจายรายได้ไปตามเมืองรอง และรัฐจัดเก็บภาษี ได้เพิ่มขึ้นเกินจากเป้าที่ตั้งไว้ ทำให้ฤดูการท่องเที่ยวคึกคัก โดยได้อานิสงส์บวกกับมาตรการนี้ " นางกอบกาญจน์ กล่าว
อย่างไรก็ตามนางกอบกาญจน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงกิจกกรรมที่กระตุ้นการท่องเที่ยวของไทย ในช่วงปลายปีที่กำลังจะจัดขึ้น เช่น
- การส่งเสริมการท่องเที่ยวคุณภาพ Luxury Tourismด้วยการจัดงานมหกรรมเรือสำราญและมารีน่า (Thailand Yacht Show 2016) 15-18 ธันวาคมนี้ ที่ จ.ภูเก็ต
- ททท. เริ่มจัดนำเที่ยวโครงการ 9 แรกสู่ 9 ที่มั่นคง เพื่อเดินทางไปเรียนรู้โครงการพระราชดำริ 70 เส้นทางตามรอยพระบาท
- แนะนำ“เส้นทางท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล” 8 เส้นทาง ใน 8 คลัสเตอร์ ในงานการจัดงานมหกรรมอารายะสถาปัตย์ (Thailand Friendly Design Expo 2016) เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในหลายพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ำให้นักท่องเที่ยวทุกคนเข้าถึงอย่างเท่าเทียม