ก.ล.ต. เปิดเผย พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย ผ่านการพิจารณาของ สนช. แล้ว
ก.ล.ต. เปิดเผยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบังคั บใช้กฎหมาย เพิ่มข้อกฎหมายเกี่ยวกับการป้ องกันการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์
(market misconduct)
และมาตรการลงโทษทางแพ่ง (civil penalty) ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญั ติแห่งชาติแล้ว
นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต.
กล่าวว่าที่ผ่ านมาการกระทำความผิดในตลาดทุนมี ความซับซ้อน โดยกฎหมายที่มีอยู่ยังไม่ ครอบคลุมการกระทำความผิดรู ปแบบใหม่ ๆ รวมทั้งบทบัญญัติ ในกฎหมายบางกรณียังไม่ชัดเจน เกิดปัญหาการตีความ
จึงอาจไม่เหมาะกั บการกระทำความผิดในตลาดทุนที่ หลักฐานส่วนใหญ่อยู่กับผู้ กระทำความผิด ไม่ทิ้งร่องรอยไว้เหมือนคดี อาญาทั่วไป ทำให้ยากที่จะนำตัวผู้ กระทำความผิดมาลงโทษ ประกอบกับกระบวนการฟ้องคดี อาญานั้นมีหลายขั้นตอน ใช้เวลานานในการดำเนินคดี
“ก.ล.ต. เสนอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ เพื่อปรับปรุงลั กษณะการกระทำความผิด และเพิ่มมาตรการในการบังคับใช้ กฎหมายเพื่อให้เกิดประสิทธิ ภาพและมีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้ น โดยการเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติ หลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์ฯ (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) ที่สำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ 1) การป้องกันการกระทำอันไม่เป็ นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลั กทรัพย์
(market misconduct)
และ 2) มาตรการลงโทษทางแพ่ง (civil penalty)”
และตลาดหลักทรัพย์ฯ (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) ที่สำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ 1) การป้องกันการกระทำอันไม่เป็
สำหรับการเสนอแก้ไขกฎหมายเรื่ องที่ 1 เกี่ยวกับ
market misconduct
ได้ปรับปรุงลักษณะความผิดให้ชั ดเจนขึ้นและครอบคลุ มการกระทำความผิดในลักษณะต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มความผิด ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ความผิดเกี่ยวกับการเปิดเผยข้ อมูลที่อาจทำให้เกิดความเสี ยหายแก่ผู้ลงทุนและตลาดทุน ครอบคลุมการบอกกล่าวหรือเผยแพร่ ข้อมูลเท็จหรือที่จะทำให้เข้ าใจผิด
รวมถึงการวิเคราะห์หรือคาดการณ์ ที่ใช้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน ซึ่งจะทำให้ผู้ให้ข้อมูลหรื อความเห็นต่อประชาชนต้องใช้ ความระมัดระวังและความรับผิ ดชอบในการกระทำดังกล่าว อย่างไรก็ดี ในการคาดการณ์ สามารถทำได้หากตั้งอยู่ บนฐานของข้อมูลที่เป็นจริง ไม่บิดเบือน แม้ในภายหลังจะไม่เป็นไปอย่างที่ คาดการณ์ไว้ ก็ไม่เป็นความผิด
ความผิดในกลุ่มที่ 2 เป็นความผิดเกี่ยวกับการเอาเปรี ยบผู้ลงทุนรายอื่น โดยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลตนรู้ มา โดยกฎหมายที่แก้ไขกำหนดให้บุ คคลที่รู้หรือครอบครองข้อมู ลภายใน ต้องไม่นำข้อมูลไปหาประโยชน์หรื อไปเปิดเผยแก่บุคคลอื่น
และผู้รับข้อมูลก็ต้องไม่ นำไปหาประโยชน์หรือไปเปิดเผยต่ อบุคคลอื่นต่อ ๆ ไป โดยกฎหมายจะ สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลวงใน เช่น กรรมการ ผู้บริหาร ที่ซื้อขายหุ้นในช่วงที่มีข้อมู ลสำคัญและยังไม่เปิดเผย ถือว่าเป็นผู้ซื้อขายที่รู้หรื อครอบครองข้อมูลภายใน และในกรณีผู้ใกล้ชิดกับบุ คคลวงใน
เช่น ญาติที่ใกล้ชิด หากมีการซื้อขายที่ผิดปกติในช่ วงเวลาดังกล่าว ก็จะถือเป็นผู้ซื้อขายที่รู้หรื อครอบครองข้อมูลภายในเช่นกัน
นอกจากนี้ กฎหมายยังครอบคลุมถึงบริษัทหลั กทรัพย์และบริษัทจัดการกองทุน รวมทั้งพนักงานหรือลูกจ้ างของบริษัทดังกล่าว ที่นำข้อมูลคำสั่งซื้อขายหลั กทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้ าของลูกค้าไปใช้ประโยชน์ โดยการซื้อขายหลักทรัพย์ตัดหน้ าลูกค้า
(front running)
หรือเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้ แก่บุคคลอื่นซึ่งอาจอาศัยข้อมู ลที่ได้มานั้นไปซื้อขายหลักทรั พย์ตัดหน้าลูกค้า จะมีความผิดตามกฎหมาย
สำหรับความผิดในกลุ่มที่ 3 เป็นความผิดเกี่ยวกับการสร้ างราคาหลักทรัพย์ กฎหมายที่แก้ไขแบ่งความผิดเกี่ ยวกับการสร้างราคาหลักทรัพย์ ออกเป็น
2 ระดับ ได้แก่ 1) การส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ ที่ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิ ดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้ อขาย และ 2) การส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ ในลักษณะต่อเนื่องจนทำให้ราคา/ ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ผิ ดไปจากสภาพปกติของตลาด
ความผิดกลุ่มนี้มักมีการกระทำร่ วมกันเป็นกลุ่ม กฎหมายจึงมีการกำหนดให้การพิสู จน์การกระทำร่วมกันง่ายขึ้น
สำหรับความผิด
market misconduct
กลุ่มที่ 4 เป็นกฎหมายที่ดูแลความต่อเนื่ องและความน่าเชื่อถือของการซื้ อขายหลักทรัพย์ด้วยระบบซื้ อขายของตลาดหลักทรัพย์ โดยกำหนดให้การส่งคำสั่งซื้ อขายที่อาจจะเป็นเหตุให้ ระบบการซื้อขายดังกล่าวสะดุดหรื อหยุดชะงักลงเป็นความผิด
นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ยังกำหนดความผิดเกี่ ยวกับการใช้หรือยอมให้ใช้บัญชี
nominee ที่นำไปใช้ในการกระทำความผิดเป็ นความผิด
market misconduct ด้วย
สำหรับการเสนอแก้ไข พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในเรื่องที่ 2 เกี่ยวกับการเพิ่ มมาตรการลงโทษทางแพ่ง
ซึ่งจะเป็นทางเลือกในการบังคั บใช้กฎหมายได้รวดเร็วขึ้น โดยความผิดที่สามารถบังคับใช้ กฎหมายด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่ง จะเป็นความผิดที่ก่อให้เกิ ดผลกระทบต่อความน่าเชื่อถื อและความโปร่งใสของตลาดทุน ได้แก่ ความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่ เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ การแสดงข้อความเท็จหรือปกปิดข้ อความจริงในเอกสารที่มีผลต่ อการตัดสินใจลงทุน
กรรมการหรือผู้บริหารบริษั ทจดทะเบียนไม่ปฏิบัติหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนด (fiduciary duty) การใช้หรือยอมให้ใช้บัญชี
nominee ในการทำ market misconduct โดยเมื่อ ก.ล.ต. เห็นควรใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง จะเสนอคณะกรรมการพิ จารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่ ประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้ านการบังคับใช้กฎหมาย
และด้านตลาดเงินตลาดทุน
ได้แก่ อัยการสูงสุด (เป็นประธาน) ปลัดกระทรวงการคลัง
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และเลขาธิการ ก.ล.ต.
อย่างไรก็ดี หากผู้กระทำผิดยินยอมและชำระเงิ นครบถ้วนตามบันทึกการยินยอม คดีจะสิ้นสุดลงทั้งในส่ วนมาตรการลงโทษทางแพ่ งและทางอาญา
แต่หากผู้กระทำความผิดไม่ยิ นยอมชำระเงิน สำนักงานจะดำเนินการฟ้องผู้ กระทำความผิดต่อศาลแพ่งต่อไป
“การปรับปรุง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ ผ่านการพิจารณาโดยผู้เกี่ยวข้ องหลายภาคส่วน กลั่นกรองให้บทบัญญัติ ในกฎหมายมีความเหมาะสมในการบั งคับใช้ และเท่าทันกับพั ฒนาการของการกระทำความผิ ดในตลาดทุนที่มีความซับซ้ อนมากขึ้นนอกจากเรื่อง
market misconduct
และมาตรการลงโทษทางแพ่งแล้ว ยังมีบทบัญญัติเพิ่มเติมอื่น ๆ ที่รองรับการออกหลักทรัพย์ใหม่ ๆ และการออกหลักทรัพย์ของบริษัทต่ างประเทศที่เข้ามาระดมทุ นในไทยอีกด้วย”
นายศักรินทร์ กล่าว