เสนอเร่งรัดแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยความสะดวกทางการค้า เพื่อรองรับ WTO TFA พร้อมพัฒนาระบบ FLUX ตามแนวทาง UN/CEFACT ... เพื่อประเทศไทย รอดใบแดง!!!
นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก แถลงข่าวร่วมกับนายไพบูลย์ พลสุวรรณา ที่ปรึกษาคณะกรรมการสภาผู้ส่งออก นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาผู้ส่งออก นายคงฤทธิ์ จันทริก
ผู้อำนวยการบริหารสภาผู้ส่งออก และ ดร. รติดนัย หุ่นสวัสดิ์
ที่ปรึกษาโครงการดัชนีการส่งออก เกี่ยวกับสถานการณ์ส่งออกในเดือนมีนาคม และภาพรวมของปี 2559 ณ โรงแรมแมนดาริน ถนนพระราม 4 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 ว่ามูลค่าการส่งออกในเดือนมีนาคม 2559 ยังได้รับอิทธิพลจากราคาทองคำในตลาดโลกที่ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์แต่หากคิดมูลค่าการส่งออกทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูปเท่ากับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว จะทำให้การส่งออกของไทยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีมูลค่าเท่ากับ 18,680.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือหดตัว -1.05% และเมื่อหักอิทธิพลของการส่งออกทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูปและอาวุธยุทโธปกรณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ออกไป จะทำให้การส่งออกของไทยในไตรมาส 1 หดตัวที่ -4.46%
ทั้งนี้ สภาผู้ส่งออก ยังคงเป้าหมายการส่งออกปีนี้ไว้ ที่ 0-2% เนื่องจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์อั ตราการขยายตัวทางเศรษฐกิ จโลกลงจาก 3.4% เป็น 3.2% โดยเป็นการปรับลดในส่ วนของประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลั กแต่เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวได้ดี ขึ้น โดยการเคลื่อนย้ายทุนระหว่ างประเทศจะทำให้เกิดผลต่ออั ตราแลกเปลี่ยนของประเทศกำลังพั ฒนา ขณะที่องค์การการค้าโลก (WTO) ยังคงระดับการขยายตัวของการค้ าระหว่างประเทศไว้ที่ 2.8% เท่ากับปีที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่า 3% ติดต่อกันมาเป็นปีที่ 5 โดยการส่งออกของประเทศกำลังพั ฒนายังคงเป็นหัวจักรสำคัญ อย่างไรก็ตาม องค์การการค้าโลกคาดว่าการค้ าระหว่างประเทศได้ก้าวมาสู่จุ ดต่ำสุดและมีแนวโน้มไปในทิ ศทางที่ดีขึ้น
อนึ่ง เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามีทิ ศทางการเติบโตอย่างเข้มแข็งที่ สุด แม้ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิ จในไตรมาสแรกอาจไม่สู้ดี เพราะยังใช้กำลังการผลิตไม่เต็ มประสิทธิภาพ แต่ได้รับแรงสนับสนุ นจากตลาดแรงงานทั้งในส่ วนของการจ้างงานและค่าจ้าง ขณะที่ตลาดเชื่อว่ าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ขณะที่สถานการณ์ของสหภาพยุ โรปกลับไม่สู้ดีนัก เพราะเหตุการณ์ก่อการร้าย และการพิจารณาของอังกฤษเพื่ อออกจากสหภาพยุโรป เป็นเหตุผลสำคัญในการฉุดความเชื ่อมั่นทางเศรษฐกิจ เมื่อผนวกกับค่าเงินยูโรที่แข็ งค่าขึ้น ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจของยุ โรปจะขยายตัวได้ 1.5% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาเช่นเดี ยวกันกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ โดนแรงกดดันจากภาคการผลิ ตและการส่งออกที่ยังคงหดตัวต่ อเนื่อง และผนวกกับสถานการณ์แผ่นดิ นไหวครั้งล่าสุดที่เป็นปัจจั ยลบต่อระบบเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น จะประกาศดำเนินนโยบายผ่ อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมอี กในปีนี้อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตของประเทศจีนได้เริ่ มแสดงการฟื้นตัว โดยค่าดัชนีการผลิตสินค้าอุ ตสาหกรรมกลับมาขยายตัวอีกครั้ งในรอบ 8 เดือน ขณะที่ค่าเงินหยวนเริ่มมีเสถี ยรภาพและได้รับความเชื่อมั่ นมากขึ้น เพราะมีทุนสำรองระหว่ างประเทศในระดับสูง มีมาตรการควบคุมเงินทุนไหลออก และประกาศไม่เข้าแทรกแซงค่าเงิ นหรือลดค่าเงิน ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจจี นจะสามารถขยายตัวได้ 6.5% เป็นอย่างน้อย
ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2559 ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการแข็งค่ าของเงินบาทซึ่งสูงเป็นอันดับที ่ 3 ในภูมิภาครองจากฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ขณะที่การแข่งขันในตลาด CLMV สูงมากขึ้น จนทำให้มูลค่าการส่ งออกของไทยไปยังตลาด CLMV ในช่วง 3 เดือนแรกหดตัว -3.99% จากที่เคยเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อผนวกกับปัญหาความขัดแย้ งในระหว่างประเทศซึ่งทวีความรุ นแรงมากขึ้น ปัญหามาตรฐานสินค้า และปัญหาเศรษฐกิจในหลายประเทศ จึงคาดว่าการส่งออกของไทยในปี 2559 จะยังไม่สดใสเหมือนอย่างตั วเลขที่กระทรวงพาณิชย์ ประกาศในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา
ประเด็นหลักประการหนึ่งที่ส่ งผลต่อการส่งออกไทยคือ การแข่งขันทางการค้าโดยใช้ มาตรการที่มิใช่ภาษีมาเป็นเครื่ องมือในการกีดกันสินค้าไทย ซึ่งรวมถึง กรณีของมาตรการ Illegal, Unreported and Unregulated (IUU) Fishing ที่เป็นประเด็นร้อนสำหรั บประเทศไทยในขณะนี้ รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานซึ่ งกำหนดโดยองค์การระหว่ างประเทศภายใต้องค์ การ
สหประชาชาติ ซึ่งสภาผู้ส่งออก ได้เข้าร่วมการประชุม 22nd UN/CEFACT Plenary
และ 27th UN/CEFACT Forum ระหว่างวันที่ 21-29 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา ณ
สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดย UN/CEFACT
หรือ the United Nations Centre for Trade Facilitation and Electronic
Business เป็นหน่วยงานภายใต้ UNECE หรือ the United Nations Economic
Commission for Europe และองค์การสหประชาชาติ ซึ่ง UN/CEFACT
มีหน้าที่รับผิดชอบในการปรับปรุ งมาตรฐานธุรกรรมการค้าระหว่ างประเทศให้ง่ายและเป็ นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อเชื่อมโยงอย่างครบวงจรในลั กษณะ Buy-Ship-Pay ตั้งแต่การซื้อขาย การขนส่ง ไปจนถึงการชำระเงินค่าสินค้า เพื่อตอบสนองเป้าหมายการพั ฒนาอย่างยั่งยืน โดยจัดทำคำแนะนำและมาตรฐานทางอิ เล็กทรอนิกส์สำหรับส่วนย่อยเพื่ อให้ประเทศสมาชิกทั่ วโลกนำไปประยุกต์ใช้และมีส่วนร่ วมในการพัฒนาผ่านคณะทำงานซึ่ งประกอบไปด้วยผู้แทนจากภาครั ฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกั บการ
ปฏิบัติจริงในแต่ละ Business Domain อาทิ Agriculture, Health Care, Travel
& Tourism, Transport & Logistics, Supply Chain, International
Trade Procedures เป็นต้น
ประเด็นหลักประการหนึ่งที่ส่
ในการนี้ คณะผู้แทนไทยที่เข้าร่ วมการประชุม ได้มีโอกาสพบปะกับผู้ แทนจากประเทศสมาชิกที่เข้าร่ วมติดตามความคืบหน้าการดำเนิ นงานของ UN/CEFACT ตามกรอบความตกลงการอำนวยความสะด วกทางการค้าภายใต้องค์การการค้ าโลก (WTO TFA: WTO Trade Facilitation Agreement) ตลอดจนแลกเปลี่ยนแนวคิ ดและประสบการณ์ของสหภาพยุ โรปในการพัฒนาระบบ FLUX (Fisheries Language for Universal Exchange) เพื่อรองรับมาตรการ IUU รวมถึงได้ นำเสนอแนวทางของประเทศไทย ซึ่งมีข้อสรุปแนวทางที่สำคั ญของประเทศไทย ซึ่งต้องเร่งรัดดำเนินงานทั้ งในระดับนโยบายและประเด็ นเฉพาะเรื่องประกอบไปด้วย
1) ประเทศไทยต้องเร่งรัดจัดตั้ง “ คณะกรรมการอำนวยความสะดวกทางการ ค้าของประเทศ” ตามแนวทางใน Recommendation No.4 ของ UNECE เพื่อให้มีหน่วยงานรับผิ ดชอบโดยตรงในการสั่งการ ประสานงาน และบูรณาการการทำงานของหน่ วยงานที่เกี่ยวข้องกั บการอำนวยความสะดวกทางการค้ าตามแนวทางของ WTO TFA และผลักดันให้ประเทศไทยมีการปฏิ บัติตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกั บการค้าระหว่างประเทศ
2) กำหนดยุทธศาสตร์ การอำนวยความสะดวกทางการค้ าของไทยและต้องศึกษา Gap Analysis การดำเนินงานตาม Recommendation ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกั บความตกลงการอำนวยความสะดวกทางก ารค้าภายใต้องค์การการค้ าโลกและมาตรฐานของ UN/CEFACT
3) ต้องเร่งรัดพัฒนาเทคโนโลยี สารสนเทศตามแนวทางของระบบ “FLUX” ซึ่งอยู่ระหว่างการพั ฒนาของสหภาพยุโรป และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2018 เพื่อตอบสนองต่อมาตรการ IUU เป็นการแสดงให้สหภาพยุโรปเห็นถึ งความตั้งใจของประเทศไทย และพิจารณาให้ประเทศไทยรอดพ้ นจากใบแดงใน เรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ ประเทศไทยต้องจับมือกับชาติพั นธมิตรในเอเชียแปซิฟิกเพื่ อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เป็ นประโยชน์ร่วมกัน
4) ต้องศึกษาและดำเนินการเกี่ยวกั บระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรั บรองรับมาตรการชั่งน้ำหนักตู้สิ นค้า ตามแนวทางของระบบ “VERMAS” เพื่อให้การปฏิบัติของไทยมี ความชัดเจนและสอดคล้องกับสากล และ
5) ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญและจั ดส่งผู้เชี่ยวชาญจากทั้งภาครั ฐและเอกชน เข้าร่วมและมีส่วนร่วมอย่างต่ อเนื่องในคณะทำงานของ Business Domain ในทุกสาขาเพื่อให้สามารถติ ดตามความคืบหน้า นำเสนอแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้ การกำหนดมาตรฐานและระบบเทคโนโลย ีสารสนเทศสอดคล้องกับการดำเนิ นงานของประเทศไทย และทำให้ประเทศไทยสามารถพั ฒนาระบบและมาตรฐานภายในประเทศให ้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่ างประเทศอย่างทันท่วงที และหลีกเลี่ยงการเผชิญปั ญหาจากมาตรการกีดกันทางการค้าอื่ ่นในอนาคต.