ADS


Breaking News

ก.ล.ต. กล่าวโทษอดีตกรรมการและผู้บริหาร PRO กับพวก รวม 4 ราย กรณีจัดทำบัญชีเท็จ

   ก.ล.ต. กล่าวโทษอดีตกรรมการและผู้บริหารบริษัทโปรเฟสชั่นแนล เวสต์ เทคโนโลยี (1990) จำกัด (มหาชน) (PROได้แก่ นายสินเสถียร เอี่ยมพูลทรัพย์  นายเกรียงไกร เลิศศิริสัมพันธ์  นางสาวรติยา สังข์ด้วง และนายสมสิทธิ์  มูลสถาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ม เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีร่วมกันจัดเอกสารเท็จ ทำให้ PRO ลงบัญชีไม่ถูกต้อง ไม่ตรงต่อความเป็นจริง ตั้งแต่งวดไตรมาส 2/2549 ถึงไตรมาส1/2552 เกี่ยวกับรายการเงินให้กู้ยืมแก่บุคคลภายนอก เงินลงทุนในโครงการแปรรูป อลูมิเนียม และการซื้อเครื่องจักรใช้ในโครงการกลั่นน้ำมันจากขยะพลาสติกเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 312 และ 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535
   บุคคลที่ถูกกล่าวโทษข้างต้น เข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ซึ่งกำหนดในประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. และไม่อาจดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารโดยผลของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ฉบับเดียวกัน 

   อนึ่ง การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดทางอาญาเป็นอำนาจและดุลพินิจของศาลยุติธรรม

เอกสารแนบข่าว :  รายละเอียดของการกล่าวโทษ

  เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2558 ก.ล.ต. กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้ดำเนินการตามกฎหมาย กับบุคคลรวม 4 ราย ได้แก่ นายสินเสถียร เอี่ยมพูลทรัพย์ ขณะกระทำผิดเป็นประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการของบริษัทโปรเฟสชั่นแนล เวสต์ เทคโนโลยี (1990) จำกัด (มหาชน) (“PRO”) นายเกรียงไกร เลิศศิริสัมพันธ์ ขณะกระทำผิดเป็นรองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชีการเงินและบริหารสำนักงานของ PRO (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร (รักษาการ) และกรรมการผู้จัดการ (รักษาการ) ของ PRO) นางสาวรติยา สังข์ด้วง ขณะกระทำผิดเป็นผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชีการเงินและบริหารสำนักงาน และผู้จัดการฝ่ายการเงินของ PRO และนายสมสิทธิ์ มูลสถาน กรรมการผู้จัดการของ บริษัทเทอร์ม เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด กรณีร่วมกันกระทำการและให้ความช่วยเหลือสนับสนุนให้มีการจัดทำเอกสารปลอม ลงข้อความและบันทึกบัญชีของ PRO เป็นเท็จ ไม่ถูกต้องและไม่ตรงต่อความเป็นจริง เพื่อลวงบุคคลใด ๆ อันเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 312 และมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
    จากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พบพยานหลักฐานน่าเชื่อว่า สืบเนื่องจาก PRO ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการบำบัดกากอุตสาหกรรมหรือวัสดุไม่ใช้แล้วที่อันตรายและไม่อันตราย รวมทั้งน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ถูกทางการสั่งปิดโรงงานบำบัดที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระแก้วเป็นเวลา 18 เดือน เพื่อแก้ไขปัญหา กากของเสียส่งกลิ่นเหม็นรุนแรง นายสินเสถียรและนายเกรียงไกร ผู้บริหาร PRO ในขณะนั้น จึงได้ร่วมกันตัดสินใจและสั่งการจ่ายเงินออกจาก PRO ประมาณ 200 กว่าล้านบาท โดยอ้างว่าจ่ายเงินออกไปให้แก่ บุคคลหลายราย เพื่อให้ PRO สามารถกลับมาดำเนินงานได้ตามปกติ แต่การจ่ายเงินดังกล่าวไม่มีหลักฐาน การรับ-จ่ายเงินที่จะนำมาใช้ประกอบการบันทึกบัญชีได้ บุคคลทั้งสองรายจึงสั่งการหรือยินยอมให้มี การจัดทำเอกสารเท็จและดำเนินการให้ PRO ลงบัญชีไม่ถูกต้อง ไม่ตรงต่อความเป็นจริง ในระหว่าง งวดไตรมาส 2 ปี 2549 ถึงไตรมาส 1 ปี 2552 โดยจัดทำเอกสารและบันทึกรายการจ่ายเงินที่ไม่มีหลักฐานดังกล่าวเป็นเงินให้กู้ยืมแก่บุคคลภายนอกหลายรายในระหว่างไตรมาส และจัดทำเอกสารและบันทึกรายการว่าได้รับชำระคืนเงินให้กู้ยืมทั้งหมดก่อนสิ้นไตรมาส และเมื่อเข้าสู่ไตรมาสใหม่ได้บันทึกการให้กู้ยืมเงิน และการได้รับคืนเงินให้กู้ยืมในระหว่างไตรมาสใหม่ โดยรายการให้กู้ยืมเงินอันเป็นเท็จในแต่ละไตรมาส มีจำนวนเงินตั้งแต่ 23 ล้านบาท จนถึง 320 ล้านบาท ต่อมาในช่วงเดือนธันวาคม 2550 ได้บันทึกบัญชีว่า มีการจ่ายเงินจำนวน 120 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นของบริษัทเจทีเอส อลูมิเนียม แอนด์ เมทเทิล จำกัด และในช่วงเดือนตุลาคม 2551 บันทึกบัญชีการจ่ายเงินเพื่อซื้อเครื่องจักรรวมเงินจำนวน 106.8 ล้านบาท ซึ่งมาจากส่วนต่างของราคาเครื่องจักรที่สูงกว่าราคาที่ซื้อขายจริงและมัดจำค่าเครื่องจักรล่วงหน้าให้แก่บริษัทเทอร์ม เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และนำค่าซื้อหุ้นและค่าเครื่องจักรดังกล่าวกลับมาบันทึกเป็นรายการรับชำระเงินจากลูกหนี้ที่กู้ยืมเงินจาก PRO ซึ่งเป็นเท็จ การกระทำดังกล่าวจึงเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ โดยมี นางสาวรติยาและนายสมสิทธิ์ให้ความช่วยเหลือสนับสนุน
   อนึ่ง การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดทางอาญาเป็นอำนาจและดุลพินิจ ของศาลยุติธรรม    
   ทั้งนี้ บุคคลที่อยู่ระหว่างถูกกล่าวโทษดำเนินคดีโดย ก.ล.ต. เพราะเหตุจงใจแสดงข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าว เป็นบุคคลที่มีลักษณะขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารกิจการที่มีมหาชนเป็นผู้ถือหุ้น ตามข้อ 3 ประกอบข้อ 4 (3) ของประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 8/2553 เรื่อง การกำหนดลักษณะ ขาดความน่าไว้วางใจของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท ลงวันที่ 23 เมษายน 2553 โดยบุคคลที่อยู่ระหว่าง ถูกกล่าวโทษจะต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน และจะดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารในบริษัทต่อไปไม่ได้ตามนัยมาตรา 89/4 และมาตรา 89/6 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ด้วยผลแห่งกฎหมายดังกล่าว ก.ล.ต. จึงไม่สามารถแสดงชื่อของนายเกรียงไกร เลิศศิริสัมพันธ์ ในระบบข้อมูลรายชื่อกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ ก.ล.ต. กล่าวโทษเป็นต้นไป