ADS


Breaking News

กลุ่มทิสโก้โชว์กำไร 9 เดือน 4.5 พันล้านบาทโต 23% ชูบริการครบวงจร-ชี้พอร์ตรายย่อยสร้างโอกาสเสริมแกร่งธุรกิจ

     กลุ่มทิสโก้แถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2560 มีกำไรสุทธิ 1,572 ล้านบาท เติบโต 25.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2559 ขณะที่กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรก ปี 2560 มีจำนวน 4,568 ล้านบาท เติบโต 23.0% จากความสามารถในการสร้างรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่แข็งแกร่ง ชี้ไตรมาส 4 เริ่มรับรู้รายได้ในการรับโอนพอร์ตธุรกิจรายย่อยจากสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด มั่นใจเสริมความแข็งแกร่งและสร้างโอกาสให้ธุรกิจในระยะยาว
     นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (Mr. Suthas Ruangmanamongkol, Group Chief Executive) เปิดเผยว่า กลุ่มทิสโก้แจ้งผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2560 มีกำไรสุทธิจำนวน 1,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 322 ล้านบาท หรือ 25.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2560 มี กำไรสุทธิ 4,568 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 856 ล้านบาท หรือ 23.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

     การขยายตัวในช่วงไตรมาส 3 ปี 25 60 เป็นผลมาจากกลุ่มทิสโก้สามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับรักษาความสามารถในการสร้างรายได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 0.5% และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 8.5% โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจนายหน้าประกันภัย (Bancassurance ) และค่าธรรมเนียมธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุน นอกจากนี้ กลุ่มทิสโก้สามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายหนี้สูญลดลง  44.0% พร้อมกับการปรับตัวดีขึ้น ของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้  (NPL) ซึ่งลดลงมาอยู่ที่ 2.3%

     ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 กลุ่มทิสโก้ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตในทุกธุรกิจ โดยเน้นประสิทธิภาพการบริหารจัด การภายใต้การบริหารความเสี่ยงและการกำกับดูแลกิจการที่ดี รวมถึงการเดินหน้าสร้างโอกาสในการเติบโตจากความสำเร็จในการรับโอนธุรกิจรายย่อยจากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) หรือ SCBT ที่ดำเนินการได้เสร็จสมบูรณ์ตาม แผนที่วางไว้ ทั้งในส่วนของเงินฝาก สินเชื่อ บริการธนบดีธนกิจและธุรกิจนายหน้าประกันภัย โดยสามารถรับโอนย้ายพอร์ตรายย่อยเข้ามาด้วยมูลค่าสินเชื่อประมาณ 36,000 ล้านบาท และเงินฝากประมาณ 15,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ทิสโก้สามารถต่อยอดธุรกิจและเพิ่มช่องทางการบริการให้เติบโตมากยิ่งขึ้น

     นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr. Sakchai Peechapat, President of TISCO Bank Public Company Limited) กล่าวว่า การรับโอนธุรกิจรายย่อยจากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดเข้ามาช่วย เสริมให้ทิสโก้มีโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ๆ รวมทั้งนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริกา รเด่นๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเรามองประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับก่อน สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนเราเปิ ดบริการ Open Architecture อย่างเต็มรูปแบบทั้งเพื่อสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงให้กับลูกค้า จากที่โดยทั่วไปจะเห็นว่าเวลาลูกค้าไปธนาคารจะได้รับการนำเสนอผลิตภัณฑ์เฉพาะของธนาคารนั้นๆ แต่TISCO Open Architecture ก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ เราเป็นธนาคารที่เปิดกว้างให้ลูกค้าสามารถซื้อผลิตภัณฑ์กองทุน และประกันชีวิตได้หลากหลายค่าย โดยเราคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดของแต่ละค่าย มาแนะนำให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าในที่เดียว

     ด้านสินเชื่อ ธนาคารจะขยายการเติบโตในธุรกิจสินเชื่อบ้าน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นสำหรับลูกค้าที่ต้องการบริหารเงินให้ เกิดประโยชน์ อย่างสินเชื่อ Mortgage Saver ที่จะช่วยให้ลูกค้าจ่ายดอกเบี้ยน้อยลงและบริหารสภาพคล่องได้ในเวลาเดียวกัน โดยลูกค้าสามารถชำระค่างวดเกินกว่าที่ธนาคารกำหนดเพื่อนำมาลดเงินต้นโดยไม่มีค่าปรับและสามารถถอนเงินส่วนที่ ชำระเกินออกมาใช้ได้ ช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น ส่วนธุรกิจบัตรเครดิต ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ดำเนินการ โดยบริษัทออล-เวย์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มทิสโก้ เราได้ใช้บริการธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดให้ดูแลต่อเป็นเวลา 1  ปี โดยเราจะรักษาฐานลูกค้าและดูแลสิทธิประโยชน์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

     “ตอนนี้ทิสโก้มีจุดแข็งด้านผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ารายย่อยได้เป็นอย่างดี และเราจะมุ่งขยายฐานลูกค้าเพื่อ เพิ่มโอกาสและต่อยอดการเติบโตในธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจด้านการเงินและมองหาผลิตภัณฑ์ที่ให้สิทธิประโยชน์ที่ดีในตลาด ทั้งผลิตภัณฑ์สินเชื่อ การออม การลงทุน ประกันภัย โดยปัจจุบันเรามีสาขา 60แห่ง และในอนาคตเราจะทำตลาด รวมถึงพัฒนาช่องทางต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น” นายศักดิ์ชัย กล่าว

สรุปผลประกอบการ ไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี  2560

     ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ ในไตรมาส 3 ปี 2560 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.8% จากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลัก ประกอบกับการตั้งสำรองหนี้สูญที่ ปรับตัวลดลง รายได้ดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น  0.5% จากความสามารถในการรักษาอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อรวม และการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักเพิ่มขึ้น 8.5% สาเหตุหลัก มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้น 7.8%  จากการขยายตัวของธุรกิจนายหน้าประกันภัย ประกอบกับรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุนเติบโต 19.2% จากการออกกองทุนที่ตอบรับความต้องการของลูกค้า ในขณะเดียวกัน การตั้งสำรองหนี้สูญลดลง 44.0%  ตามคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดี ขึ้นอย่างต่อเนื่องตามแผนการควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพ

     สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2560  เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ก่อนหน้า บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 4,568 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.0% จากการปรับตัวดีขึ้นของรายได้จากทุกภาคธุรกิจ รายได้ดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น  1.9% ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักเพิ่มขึ้น 8 .5% จากการเติบโตของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ และธุรกิจจัดการกองทุน อีกทั้ง การตั้งสำรองหนี้สูญลดลง 36.4%  ตามคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดี ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กลุ่มทิสโก้ยังคงสามารถควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังคงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อราย ได้รวมอยู่ในระดับต่ำที่ 42.1%

     สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 ก.ย. 2560 มีจำนวน 215,038 ล้านบาท ลดลง 0.5% จากไตรมาสก่อนหน้า ตามนโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่าง ระมัดระวัง อย่างไรก็ดี สินเชื่ออเนกประสงค์ยังคงเติบโต ได้ดี โดยเฉพาะการขยายตัวของสินเชื่อ “สมหวัง เงินสั่งได้” ซึ่งเติบโตต่อเนื่องอีก 11.5% ใ นไตรมาสนี้ ตามแผนการขยายธุรกิจและการขยายสาขาสำนักอำนวยสินเชื่อ ในขณะเดียวกัน หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการปรับตัวดีขึ้นของคุณภาพสินเชื่อรวม โดยอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้ เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมลดลงมาอยู่ที่ 2.3%

     ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดทั้งปี โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์ (BIS Ratio) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20.5  สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ  9.75% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 15.6% และ 4.9% ตามลำดับ